ทรายพราวแสง
บทที่ 3
โยษิตาเดินลากเท้าเอื่อยๆ
เข้าในในออฟฟิศ รุ่นพี่ในที่ทำงานต่างก็ยุ่งกับหน้าที่ของตนเอง แค่รู้ว่าผู้ที่ผลักบานประตูเข้ามาคือเธอทุกคนก็หันมามองหญิงสาวด้วยแววตาประหลาดใจ วันนี้เธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกระโปรงสีดำรองเท้าหุ้มส้นเข้าชุดกัน
ผมเผ้าที่มักเป็นกระเซิงก็ถูกรวบดึงและขมวดเป็นมวยอย่างเรียบร้อยผิดกับทุกครั้งที่เข้ามาบรีฟงาน
“ไปสมัครงานมาอีกแล้วเหรอหนูตา” เสียงห้าวๆ
ของซุปเปอร์ไวเซอร์สาวหล่อถามขึ้นเรียกสติที่อ่อนล้าของเธอกลับมาก่อนเงยหน้าสบตากับเจ้าของเสียงที่ทักทาย
“ค่ะพี่แน๊ต” เธอยิ้มบ้างๆ
ให้รุ่นพี่ซึ่งเป็นสาวห้าวเต็มขั้นซอยผมสั้นรองทรงเหมือนผู้ชายรวมทั้งการแต่งตัวที่ดูยังไงก็แมนสุดๆ
“พี่เข้าใจนะ…งานที่นี่มันก็แค่ทางผ่านของพวกเธอแต่ท่าจะเอาจริงเอาจังมันก็ได้นะ…ทำแบบนี้สักปีแล้วค่อยสมัครเป็น
QC ก็ได้นิ”
พี่แน๊ตหอบเอากองเอกสารที่ซีร๊อกส์เรียบร้อยแล้วมาวางตรงโต๊ะทำงาน
โยษิตาเข้าไปช่วยจัดเรียงให้เหมือนทุกครั้ง เธอได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาของรุ่นพี่สาวมาดแมน
เธอไม่ได้รังเกียจงาน ‘กรอกแบบสอบถาม’ หรือที่เรียกแบบสวยหรูว่า
‘วิจัยตลาด’ พวกนี้หรอกนะ
แต่ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากทำงานตามสาขาวิชาที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมาจนจบ
แต่ก็เถียงพี่แน๊ตอีกไม่ได้เต็มปากเต็มคำอีกนั้นแหละว่างานแบบนี้เป็นเหมือน
‘ทางผ่าน’ ของเหล่านักศึกษาหารายได้พิเศษหรือแม้แต่บัณฑิตจบใหม่หมาดๆ
ใบปริญญาก็ยังไม่ได้รับอย่างเธอ ถึงคราวเข้าตาจนถ้ามัวแต่เลือกงานอยู่แล้วพรุ่งนี้จะเอาอะไรกินเข้าไป ยิ่งตัวเธอเองก็เปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัวนอกจากจะมีคุณยายอายุหกสิบเจ็ดแล้วตอนนี้ยังมีน้องสาววัยสิบขวบเพิ่มขึ้นมาให้เป็นภาระของเธออีก
ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่...บางที…เธออาจจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้
หรือ…ความลำบากมันรอให้เราเผชิญหน้ากับมัน...ไม่วันใดวันหนึ่งอยู่แล้ว
หนูตาของพี่แน๊ตระบายลมหายใจเบาๆ
อีกครั้งก่อนฝืนทำร่าเริง พลิกดูเอกสารที่เย็บเข้าชุดเสร็จแล้วซึ่งมีความหนาประมาณยี่สิบกว่าหน้ากระดาษเอสี่
“คราวนี้วิจัยอะไรคะ”
“น้ำมัน” พี่แน๊ตหันมายิ้มให้ดวงตาเป็นประกาย เฮ้อ…นี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่โยษิตาอยากหางานทำที่อื่นเหมือนกัน
“น้ำมันพืชหรือน้ำมันใส่ผมคะพี่แน๊ตคิก...คิก”
หญิงสาวตัวเล็กเหมือนเสียงเอ่ยถาม มินต์เป็นเพื่อนที่เข้าทำงานเดียวกับโยษิตาถ้านับอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกันแต่ถ้าดูเรื่องการศึกษา
เพื่อนสาวคนนี้เรียนที่มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่เดียวกับโยษิตาป่านนี้แล้วมินต์ยังเก็บหน่วยกิตได้เพียงครึ่งเดียวเอง
แต่ก็ดูเหมือนเพื่อนสาวอารมณ์ดีที่มักจะมีเสียงหัวเราะอยู่ตลอดเวลาไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่นัก
มินต์ก็เป็นคนหนึ่งทีต้องทำงานไปเรียนไปด้วยคล้ายๆ กับเธอ
“น้ำมันรถจ๊ะหนูมินต์” ไม่ว่ากับรุ่นน้องหญิงคนไหนพี่แน๊ตจะเรียกนำหน้าว่า
‘หนู’ เสมอ
“สำรวจความพอใจของผู้ใช้รถยนต์ โดยที่เราจะเข้าไปสอบถามผู้ที่เป็นผู้ขับขี่รถโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของรถยนต์คันนั้นๆ
ก็ได้ แต่ต้องเน้นที่ยี่ห้อของรถยนต์ต้องเป็นรถใหม่อายุไม่ถึงปีหนึ่งพอจะเข้าใจไหม”
“ค่ะพี่แน๊ต” โยษิตาตอบพลางพลิกเอกสารในมือ
เมื่อสองเดือนก่อนก็ทำเรื่องรถยนต์แต่เป็นความพึ่งพอใจของการใช้รถและแนวโน้มที่จะเปลี่ยนรถใหม่
“งานนี้ต้องทำแบบแรนดอมลงตามบ้านรึเปล่าค่ะพี่แน๊ต มินต์ไม่ค่อยชอบเลย
สวยๆ อย่างมินต์มีแต่คนขอเบอร์มือถือถามอะไรไม่ค่อยจะได้ความเลย คิก...คิก”
มินต์หัวเราะคิกคักซึ่งเป็นท่าทางประจำของเธอแต่เรื่องที่เล่ามาไม่รับประกันความจริงเท่าไหร่นัก
เพราะสาวหมวยคนนี้มักจะมีเรื่องประมาณนี้มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังอยู่บ่อยๆ ทั้งหนุ่มๆ
ตามจีบทั้งคนมาชวนไปทำงานที่บริษัทใหญ่โตแต่ก็เห็นเธอทำงานกรอกแบบสอบถามอย่างนี้ไม่ได้ไปไหนกับใครเสียที
แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือว่างานประเภทแรนดอมสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายตามบ้านแม้จะไม่ค่อยปลอดภัยนักสำหรับสาวๆ
เวลาได้งานประเภทนี้ ถึงไม่มีกฎของบริษัทแต่ทุกคนจะรู้หน้าที่ดีว่าจะต้องจับคู่เป็นบัดดี๊ทำงานด้วยกันห้ามไปคนเดียวเด็ดขาด
แต่สิ่งที่ได้เปรียบสำหรับคนที่ยังเรียนอยู่ก็คือการใส่ชุดนักศึกษาไปทำงาน
เพราะอย่างน้อยที่สุด…เวลาที่พวกเธอเข้าไปเก็บข้อมูลจะไม่ถูกไล่ตะเพิดตั้งแต่ยังไม่ได้อ้าปากอธิบายอะไรเพราะคิดว่าพวกเธอมาขายสินค้า
การสุ่มสำรวจเป้าหมายตามบ้านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บริษัทเป็นอย่างไรโยษิตาไม่รู้แต่สำหรับ
บริษัท W.I.N.D แล้วมีกฎว่าถามหนึ่งหลังเว้นสี่หลัง ส่วนจะเป็นพื้นที่ไหนจังหวัดอะไรขึ้นอยู่กับพี่ซุปฯของแต่ละคนจับฉลากได้เขตไหนไปทำ แม้จะร้อนและอันตรายไปบ้างแต่การทำวิจัยตลาดแบบนี้เป็นงานได้ค่าตอบแทนดีกว่าประเภทยืนตากแอร์เย็นๆ
ในห้างสรรพสินค้าแล้วคอยสุ่มถามเอากับคนที่เดินผ่านไปมา แต่ไม่รู้ว่าเพราะพี่ซุปฯ ของโยษิตาเป็นพี่แน๊ตหรืออย่างไรไม่ทราบได้จึงมันได้แต่งานแรมดอมทุกที
“ถ้าเข้าใจแล้วแบ่งกันไปคนละสิบสองชุดนะ
ใครได้เบ็นซ์,ซิวตรอง,ว่อลโล่,แล็กซัสหรือ
BMW ก่อนให้โทรมาบอกพี่ด้วย
ไอ้ยี่ห้อตลาดๆ นะเอาไว้ที่หลังก็ได้”
“สาธุขอให้เจอหนุ่มหล่อๆ
รวยๆ ด้วยเถอะ!” สาวมินต์ทำท่ายกมือไหว้ท่วมหัว
“อะไรยะเธอ” เพื่อนร่วมกลุ่มคนอื่นแซวเล่นพร้อมเสียงหัวเราะฮาครืน
“อ้าว!
ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้เข้าไปตีสนิทพวกคนรวยมีรถหรูขับไง เผื่อความสวยแบบหมวยๆ
ของฉันจะเข้าตาไง คิก…คิก”
“พูดให้มันเบาๆ
หน่อยหนูมินต์ พูดเล่นได้แค่ตรงนี้ เกิดคิวซีฯได้ยินจะเรื่องใหญ่ เดี๋ยวจะเสียภาพพจน์บริษัทฯหมด
แล้วหนูตาละ…ไหวนะ” พี่แน๊ตหันมาถามแสดงความเป็นห่วงอย่างออกนอกหน้า
“ไม่มีปัญหานี่ค่ะ”
โยษิตายิ้มบางๆ
ที่มุม พี่แน๊ตโยกหัวเธอเบาๆ ไปมา ปัญหาเรื่องงานนะไม่มีหรอก
แต่ปัญหามันอยู่ที่สิ่งที่พี่แน๊ตแสดงออกแบบนี้แล้วทำให้คนอื่นพลอยไม่ค่อยพอใจเธอไปด้วยนะซิ!
เธอไม่ได้รังเกียจพี่แน๊ตที่เป็นสาวหล่อแต่ไม่คิดอะไรกับพี่แน๊ตมากกว่ารุ่นพี่กับรุ่นน้องที่ทำงานที่เดียวกัน
แถมเธอยังโดนคนอื่นเขม่นเอาอีกมีบ่อยครั้งที่มีบางคนคิดว่างานที่เธออาจไม่ใช่ฝีมือเธอ
“คิ้วชนกันแล้วนะยัยตา…คิดถึงหนุ่มๆ
อยู่รึเปล่าคิก...คิก”
“มีให้คิดถึงก็ดีซิ” หญิงสาวยิ้มแหย
เฮ้อ…เอาเถอะ อย่างน้อยก็มี
มินต์สาวหมวยเสียงเล็กที่ดูเป็นมิตรและจริงใจกับเธอมากกว่าใครที่สุดในตอนนี้
เธอหยิบแบบฟอร์มสอบถามทั้งสิบสองชุดใส่ถุงผ้าของตัวเอง แต่มีแฟ้มเอกสารที่ใส่สมัครงานนอนนิ่งอยู่ภายใน
เธออดนึกถึงการสอบสัมภาษณ์ของวันนี้ที่ดูจะไม่ค่อยดีนักไม่ต้องคาดหวังเลยว่าจะได้กลับไปที่นั่นอีก
ก่อนเข้าบ้านคงต้องหาซื้อหนังสือพิมพ์สมัครงานเล่มล่าสุดไปดูอีกแล้ว
โยษิตาเดินออกมาจากตึกบริษัทฯอย่างเหนื่อยๆ
เห็นคนเขาแถวรอกด ATM ที่หน้าร้านสะดวกซื้อแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าค่าแรงจากการทำงานพิเศษเข้าบัญชีแล้ว
เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กขึ้นมาพลิกดูรายการของใช้ในบ้านที่ต้องซื้อ แต่คุณยายละเอียดที่แสนน่ารักไม่ค่อยสนับสนุนให้เธอซื้อของตามห้างฯ
แม้ว่าจะได้ราคาถูกกว่าทั้งสบู่,ยาสระผม, ผงซักฟอกหรืออะไรอีกจิปาถะเหล่านี้
คุณยายมักจะให้เธอซื้อที่ร้านของป้าแจ๋ว ร้านโชว์ห่วยที่อยู่ปากซอย ส่วนเรื่องอาหารการกินคุณยายเป็นคนจัดการให้เธอทั้งหมด
ถ้าใครจะว่าเธอเป็นหลานที่ไม่ได้เรื่องเลยก็ดูจะไม่ผิดนักก็งานบ้านงานเรือนไม่ค่อยถนัดเอาเสียเลย
แม้แต่การทำอาหารก็ยังสู้รสมือของคุณยายไม่ได้ แต่กระนั้นคุณยายก็ไม่เคยดุว่าอะไรหลานสาวคนนี้สักครั้ง
อาจเป็นเพราะเข้าใจที่หลานสาวคนนี้ต้องรับภาระทั้งเรียนและทำงานพิเศษไปพร้อมกัน
“ฝนตกเมื่อไหร่นี่…แย่จังถนนแฉะไปหมดเลย”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ นี่เดือนอะไรแล้วหนอฝนจึงมาทักทายอย่างนี้ ตั้งแต่เรียนจบมายังไม่เคยได้ไปเที่ยวพักผ่อนแบบคนอื่นเลยแถมตะลอนๆ
หางานอีกต่างหาก แล้วไหนตอนนี้จะมีน้องสาวตัวเล็กเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ซึ่งดูเหมือนว่าแม่เด็กจะไม่ใส่ใจเอาเสียเลย
นี้ก็เท่ากับว่าบ้านของเธอในเวลานี้มีผู้หญิงสามคนสามวัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน
ปวดหัวจัง!
โยษิตาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะปรึกษาใครและก็บ่นให้ใครฟังก็ไม่ได้ คงต้องลองโทรศัพท์ติดต่อไปทางป้าอำภาแม่ของน้องข้าวซอยดูอีกสักครั้งว่าจะมารับลูกสาววัยสิบขวบเมื่อไหร่
ขณะที่ยืนรอสัญญาณไฟจราจรเพื่อจะข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์ที่ฝั่งตรงข้าม รถยนต์คันหนึ่งก็แล่นผ่านด้วยความเร็วเบียดฟุตปาธจนน้ำที่เจิ่งนองกระเซ็นใส่ร่างของโยษิตาที่ยืนริมถนนอยู่พอดี
“ว๊าย!”
ไม่ใช่ใส่เธอที่ร้องกรี๊ดออกไปหรอก
แต่เป็นคนที่ยืนใกล้ๆ เธอต่างหาก หญิงสาวหงุดหงิดกับพฤติกรรมกรี๊ดกร๊าดของผู้หญิงแบบนี้เหลือเกิน
แต่ก็ได้แต่ยืนปลงแล้วพยายามเพ่งมองหมายเลขทะเบียนรถที่แล่นผ่านไป ทว่ารถคันนั้นก็ไปได้ไม่ไกลนักก่อนถอยพรืดมาจอดตรงบริเวณที่เกิดเหตุ
กระจกไฟฟ้าอัตโนมัติถูกเลื่อนลงปรากฏใบหน้าหญิงสาวสวยเฉี่ยวที่เบาะนั่งฝั่งข้างคนขับ
แล้วธนบัตรสีม่วงก็ยื่นออกมานอกหน้าต่างรถ
“ขอโทษที
ฉันกำลังรีบ แค่นี้คงพอค่าซักรีดเสื้อผ้าราคาถูกของคุณนะ”
ธนบัตรฉบับนั้นถูกหยิบไปทันทีและรถยนต์คันหรูก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
โยษิตาซึ่งเลอะเทอะมากที่สุดแต่หญิงสาวที่ร้องกรี๊ดเมื่อครู่รับไว้อย่างรวดเร็วแม้ปากจะก่นบ่นด่าอยู่ก็ตาม
เอาเถอะ!
โชคร้ายซะให้พอ พรุ่งนี้มันอาจจะเป็นวันดีๆ ได้ใครจะไปรู้ หญิงฝืนยิ้มให้กับตัวเองก่อนพาร่างเพรียวบางข้ามถนนเพื่อมุ่งไปสู่บ้านไม้สองชั้นในชุมชนสวนขวัญ
อย่างน้อย…เธอก็มีบ้านให้กลับในทุกวัน.
|
ทรายพราวแสง
|
เพลงมีนา |
www.mebmarket.com
|
ทิฐิที่มีทำให้สองหัวใจเดินทางสวนกันทั้งที่พร่ำเพรียกอย่างโหยหา
แต่เมื่อรู้ตัวเขาก็ยอมรับจากก้นบึ้งของหัวใจว่าหากครั้งนี้เขาปล่อยมือคู่นี้ไปหัวใจเขาคง...
|
Get it now
| |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น