ลูกธนูดอกหนึ่งแหวกผ่านอากาศหมายจะปลิดชีพชายหนุ่มบนหลังม้าที่ห้อตะบึง
มือใหญ่จับแส้ไว้มั่นแล้วหวดลงที่สะโพกอาชาสีขาวอย่างแรงทำให้มันพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าคมเข้มที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีรัตติกาลมีแววยิ้ม ลูกธนูดอกนั้นเฉียดฉิวผ่านศีรษะไปเล็กน้อย
ทำให้มีลูกธนูพุ่งมาอีกหลายดอก แต่ชายหนุ่มก็ยังสามารถหลบหลีกได้แม้จะอยู่บนหลังอาชาก็ตาม
“แผนตื้นๆ ก็ยังคิดกันได้” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังมือข้างหนึ่งปล่อยจากบังเหียนแล้วชี้นิ้วไปทางหนึ่ง
“ไปเร็วโมตู จงเตรียมการอย่างที่ข้าสั่ง”
“พะยะคะเจ้าชายเนเฟอร์คาเร” องครักษ์หนุ่มน้อมรับคำสั่ง “ระวังพระองค์ด้วย”
“เจ้าก็เช่นกัน”
เนเฟอร์คาเรห้ออาชาทะยานไปทางแสงอาทิตย์อัสดง
การเดินที่คาดว่าจะใช้สามวันแต่องค์รัชทายาทหนุ่มใช้เวลาเพียงหนึ่งคืนกับหนึ่งวันเท่านั้นก็ใกล้ถึงที่หมาย แม้พระองค์จะลอบออกจากวังเพื่อไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้
กระนั่นการเดินทางของพระ องค์ก็ยังอยู่ในสายตาริษยาของมเหสีคูอิ แต่มือลอบสังหารส่งมาจัดการเขานั้นก็ช่างอ่อนหัดเสียเหลือเกิน
แม้จะเป็นอย่างที่คาดคิดไว้แต่ก็ดูไม่หนักหนาอะไรที่พระองค์จะรับมือเลยด้วยซ้ำ
อาชาสองตัวแยกไปสองทาง
และเหล่านักรบที่ถูกส่งมาไล่ล่านั้นติดตามอาชาขององครักษ์โมตูไป เจ้าชายเนเฟอร์คาเรกระตุกยิ้มแค่การพร่างตัวด้วยเสื้อผ้าและอาชาที่เขาเคยใช้เป็นประจำก็ทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจผิดได้
องค์รัชทายาทหนุ่มเงยหน้ามองดวงอาทิตย์พลางภาวนาให้เทพอาเมน-รา หรือเทพราผู้เป็นดั่งบิดาแห่งมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายปกป้องดินแดนไอยคุปต์ด้วย
“คืนนี้ลมแรงยิ่งนักพี่ดังชี”
มือเรียวเล็กยกขึ้นรวบผมยาวที่ถักเปียไว้หลวมๆ
หญิงสาวหรี่ตาลงเมื่อรู้สึกว่าลมปะทะเข้าใบหน้าอย่างแรง แต่ดังชีกลับช่วยกระชับผ้าคลุมไหล่ผืนหนาของอังค์เนส
ดวงตาเรียวของเขาจ้องมองใบหน้างดงามใต้แสงจันทร์นวล ในยามค่ำคืนอังค์เนสมักจะเปิดเผยตนเองเป็นหญิงสาวผู้แสนงดงาม
ซึ่งดูเหมือนว่าเธอเองจะไม่เคยล่วงรู้ว่าตนเองมีความงามนั่นอยู่ในตัวเอง
“ข้าจะเดินไปส่งเจ้า”
ดังชีเอ่ยบอกแล้วโอบไหล่เล็กๆ
ของอังค์เนสให้เดินเคียงข้างสายตาของเธอที่มองเขาช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของน้องสาวที่ชื่นชมพี่ชาย
ซึ่งเขามาต้องการเลย
“พี่ดังชีทำเหมือนข้าเป็นเด็กเล็กๆ” อังค์เนสหัวเราะเสียงใส “ข้าเดินกลับไปกลับมาอย่างนี้มาหลายปีแล้ว
ไยพี่ดังชีต้องเอาเวลาพักผ่อนของพี่เพื่อข้าด้วยเล่า”
‘ทั้งชีวิตของข้าก็คือเจ้า
อังค์เนส’
“แค่ประตู พี่ดังชี”
เสียงหวานใสทักทำให้ดังชีตื่นจากภวังค์
ดังชีมองบานประตูกระท่อมตรงหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ
“พักผ่อนเถิดพรุ่งนี้เจ้ายังมีอะไรอีกมากที่ต้องทำ”
“พี่ดังชีก็เช่นกัน”
อังค์เนสยืนส่งดังชีสุดสายตา
หญิงสาวเงยหน้ามองพระจันทร์ดวงโตกลมที่เปล่งประกายสุกใสสว่างนัก เธอกอดกายตนเองอย่างปลอบประโลม
ผ่านมากี่ฤดูกาลเธอก็ไม่อาจลืมค่ำคืนนั้นได้ สายลมรุนแรงและหนาวยะเยือก เด็กหญิงวัยเก้าขวบเดินฝ่าสายลมแห่งค่ำคืนโดยมีมืออบอุ่นของดังชีจับจูงไม่ยอมปล่อย เธอรู้ดีว่ามือคู่นี้จะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ
‘ทำไมข้าต้องไปด้วย....ข้าอยากอยู่กับท่านแม่’
‘มันเป็นชะตาของเจ้า
อังค์เนส....’
น้ำเสียงอ่อนระโรยของมารดาเอ่ยพร้อมน้ำตานองหน้านางไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นจากที่นอนด้วยซ้ำ
แต่ปรารถนาสุดท้ายก่อนเทพโอซิริส เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ใต้พิภพ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยมโลกจะพรากวิญญาณไป
นางก็ยังหวังจะให้บุตรสาวซึ่งเยาว์วัยได้เติบโต
‘ไปซะ
ไปให้ไกลจากที่นี่...ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี’
‘แม่...ข้าจะอยู่กับท่าน’
‘ดังชี...น้าฝากอังค์เนสด้วย’
‘อังค์เนส...แม่ขอโทษ...แม่...’
‘แม่....’
กี๊ซซซซซซซซซซซซซ
อังค์เนสสะดุ้งสุดตัว
หญิงสาวตื่นจากภวังค์เหลียวมองรอบข้างหาที่มาของเสียงหวีดร้องนั่นเธอกระชับผ้าคลุมไหล่ให้มิดชิดแล้วเดินย่ำไปตามทางแสงจันทร์
ใกล้ตลิ่งมีก่อหญ้าสูงเสียงหวีดร้องยังดังก้องกลางคืน มือเรียวแหวกก่อหญ้าออกก็พบเจ้ากระต่ายน้อยสีขาวติดกับดักอยู่
“อย่าร้องซิ...เดี๋ยวพวกพรานก็มาจับเจ้าไปหรอก”
อังค์เนสนั่งลงแกะบ่วงออกจากกระต่ายสีขาวขนฟูนุ่มมือ
มันช่างแสนเชื่องอย่างน่าประหลาด เธอกอดมันเบาๆ เพื่อปลอบประโลม แล้วหญิงสาวก็อดคิดถึงกระต่ายน้อยตัวหนึ่งที่เธอเคยช่วยชีวิตไว้ไม่ได้
ในครานั้นเธอกำลังหลบหนีออกจากเมืองหลวง
เธอเหนื่อยและหมดแรงจะเดินทางต่อจนดังชีต้องให้เธอนั่งพักและเขาออกไปหาอาหารมาให้ ทว่าหญิงสาวไม่รู้เลยวาตนเองอยู่ในสนามการล่าสัตว์
ลูกธนูที่พุ่งมาเฉียดขาเธอจนต้องกระโดดหนีไปหลบอยู่หลังต้นไม้ เจ้ากระต่ายน้อยกระโดดหนีความตายกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดเธอ
เธอกอดมันไว้แน่นได้แต่ภาวนาขอให้เทพเจ้าทั้งหลายปกป้องเธอและกระต่ายน้อย
เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด
แต่เมื่อรู้สึกถึงเสียงฝีเท้าม้าที่เริ่มห่างออกไปเธอก็ถอนหายใจยาว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือแข็งแกร่งมากระชากไหล่เธออย่างแรงจนต้องหันไปอย่างรวดเร็ว
‘เจ้าเป็นใคร’
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจทำให้เธอหวาดกลัว
เธอจำได้ดีว่าส่ายหน้าไปมาจนผมยาวปลิวสยาย หวาดกลัวจนริมฝีปากสั่นระริกแต่ในอ้อมอกมีกระตายน้อยสีขาวที่เธอปกป้องมันไว้ด้วยชีวิตของเธอ
‘กระต่ายน้อย...’
เด็กหนุ่มผู้นั้นลากเสียงยาวและยานคางเหมือนจะกวนประสาทเพราะถือว่าตนเองนั้นเหนือกว่า
‘เจ้าชาย! ทรงปลอดภัยไหมพะยะคะ’
‘ข้าเจออะไรดีๆ แหละโมตู’
เธออาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอใช้ปากกัดหลังมือของคนผู้นั้นเต็มแรงจนต้องสะบัดมือปล่อยเธอเป็นอิสระ
ทั้งคู่ประสานแววตากันครู่หนึ่งแล้วเธอก็อุ้มกระต่ายน้อยสีขาวหนีหายไปในพงหญ้า พี่ดังชีวิ่งกระหืดหอบกลับมาด้วยความเป็นห่วง
เธอปล่อยเจ้ากระต่ายน้อยเป็นอิสระ แต่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
“เจ้าปลอดภัยแล้วกระต่ายน้อย”
อังค์เนสปลอบเจ้ากระต่ายขนฟูแล้วลุกขึ้นยืน
ทว่าเธอรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวอ้าปากกว้างแต่ยังไม่ทันส่งเสียงร้องมือใหญ่ก็ปิดปากเธอแน่
ร่างใหญ่โถมเข้าใส่จนเธอหงายหลัง มือเรียวพยายามทุบตีอกฝ่ายเป็นพัลวันแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“อย่าเสียงดัง ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า”
เสียงทุ้มนุ่มกระซิบใกล้เรือนแก้มของอังค์เนส
ชายหนุ่มรู้สึกได้กลิ่นหอมประหลาดมันช่างแสนอ่อนโยนและละมุนละไมจนเขาอดที่จะกดปลายจมูกสูดดมแก้มเนียนไม่ได้
อังค์เนสเอียงหน้าหนีแต่ราวกับเชิญชวนให้อีกฝ่ายดอมดมกลิ่นแก้มสาว เธอพยายามดิ้นรนเพื่อเรียกร้องหาอิสระ
ทว่ากลับถูกกดให้แนบพื้นด้วยร่างกายแข็งแกร่ง
บุรุษแปลกหน้าในชุดดำทะมึนมีรูปร่างเล็กกว่าดังชีแต่เธอสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและพลังอำนาจบางอย่างที่แผ่กระจายมาจนร่างกายเธอสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็น
ลมหายใจร้อนระอุของเขาเคลียแก้มมันทำให้หัวใจเธอเต้นแรงและหวาด กลัว มือใหญ่บีบคางน้อยๆ
ให้หันมาเผชิญหน้า แสงจันทร์กระจ่างทำให้ทั้งสองมองเห็นใบหน้าของกันและกันได้ชัดเจนหญิงสาวรู้สึกคุ้นกับดวงตายาวรีและแฝงด้วยอำนาจคู่นี้คล้ายว่าเธอเคยถูกสะกดด้วยดวงตานี้มาก่อน
“อะ!”
มือนั้นปล่อยจากปากของหญิงสาว
ริมฝีปากอิ่มสีแดงดุจกุหลาบเผยอขึ้นเรียกหาอากาศ ทว่ามันกลับถูกปิดด้วยริมฝีปากที่ทาบลงมาอย่างจาบจ้วง
อังค์เนสเบิกตาโตอย่างตกใจกับการกระทำที่ไม่เคยได้รับเช่นนี้ ริมฝีปากของเขากดลงอย่างรุนแรงเหมือนประกาศอำนาจ
มือใหญ่เลื่อนลูบไล้ผิวกายที่เนียนนุ่มอย่างที่ไม่เคยสัมผัส มือเรียวเล็กเปลี่ยนจากทุบที่อกอีกฝ่าย
เมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ผลจึงล้วงเข้าไปในเสื้อของตนเองแล้วหยิบแก่นไม้เล็กๆ
ออกมาก่อนจะออกแรงดันใบหน้าอีกฝ่ายจนถอนจูบจากเธอแล้วยัดแก่นไม้นั้นใส่ปากของเขา
“อะไรนะ” เขาคายมันออกมาอย่างเร็วแต่ก็ยังรู้สึกว่ารสฝาดของมันยังแผ่นซ่านไปทั่วลิ้น
บุรุษหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างแสนเสียดาย
เขาเองก็ไม่เคยขาดการควบคุมตนเองขนาดนี้แต่ในขณะที่เขายืนอยู่นั่นก็รู้สึกแข็งขาไร้เรี่ยวแรงจนต้องทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น
อังค์เนสขยับตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างหวาดกลัวแม้จะเห็นเขาทรุดลงไปนั่งกับพื้นก็ตาม
“ร่างกายไร้เรียวแรงแล้วใช่ไหม”
“เจ้าเอาอะไรมาใส่ปากข้า!”
“ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน” อังค์เนสสารภาพ ไอ้เถาวัลย์ชิ้นนั้นเธอคาดว่ามันจะสามารถทำให้ร่างกายชาขาดการควบคุม แต่ยังไม่ได้ลองดูว่าเป็นที่คิดหรือไม่ แต่ก็บังเอิญมีหนูมาให้ทดลองเสียก่อน
“เจ้านี่มัน...ปีศาจ”
อังค์เนสหวีดร้องอย่างตกใจเมื่อร่างสูงโปร่งทะลึ่งตัวแล้วพุ่งเข้าหาอย่างเร็ว
หญิงสาวถอยหลังด้วยสัญชาตญาณจนแผ่นหลังชิดต้นไม้ใหญ่ ร่างสูงทาบเข้ามากักขังเธอไว้ด้วยแขนสองข้างของเขา
“ปล่อยข้านะ” น้ำเสียงสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
กายผ่าวร้อนของเขกำลังจะทำให้เธอลุกไหม้ แต่จู่ๆ ร่างสูงก็ทรุดฮวบสลบเหมือดไปกองกับพื้น
หญิงสาวยืนหอบหายใจแรง
เธอต้องรวบรวมสติก่อนจะก้มมองร่างที่ไม่ขยับตัว อังค์เนสรีบผละออกจากร่างนั้นแล้ววิ่งหนีกลับมาที่กระท่อม
แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้าหันกลับไปมองอย่างลังเล
สิ่งที่เขาทำมันแสนร้ายกาจ
แต่ควรหรือไม่ที่จะปล่อยเขาไว้อย่างนั้น!.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น