เกือบลืมไปแล้ว 2
โบตั๋นยิ้มให้ความทรงจำในวันวาน
แม่เล่าให้ฟังเมื่อครั้งที่เธอเกิดได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ก็เกิดอาการเจ็บป่วยไม่สบายหาสาเหตุไม่พบ
พ่ออุ้มพาไปรักษาหลายโรงพยาบาลแต่ก็เธอก็ไม่ดีขึ้นจนได้ต้องพึ่งพาพระสงฆ์องค์เจ้า
หลวงพ่อที่วัดประจำหมู่บ้านบอกว่าต้องแก้เคล็ดด้วยการยกเธอให้เป็นลูกคนอื่น
หลวงพ่อที่วัดประจำหมู่บ้านบอกว่าต้องแก้เคล็ดด้วยการยกเธอให้เป็นลูกของคุณยายรัมภา
เมื่อหมดหนทางที่จะรักษาพ่อกับแม่ก็ยอมทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ
อาการเจ็บป่วยของดีจึงหายไปอย่างน่าประหลาด
เธอจึงกลายเป็นที่รักและเอ็นดูของคุณยายรัมภาและคุณตาสุพจน์ เขียวไข่กา
จะว่าไปคนที่เอ็นดูและเอาใจเธอมากถึงมากที่สุดก็คือคุณตาสุพจน์
ผู้เป็นเจ้าของที่นาให้เช่านับร้อยไร่
เจ้าของโรงสีข้าวชื่อดังของจังหวัดและเพียงไม่กี่ปีข้าวเกษตรอินทรีย์ที่คุณตาสุพจน์ริเริ่มมาหลายปีเริ่มส่งผลเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากตลาดทางยุโรปมากยิ่งขึ้น
การค้าขายขยายกิจการก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่จำความได้เธอก็นั่งอยู่บนตักของคุณตาสุพจน์ที่ชอบดีดลูกคิดมากกว่ากดเครื่องคิดเลขแต่ก็นั้นแหละคุณตาไม่ปฏิเสธเทคโนโลยีทุกแขนง เธอจึงคุ้นเคยการคำนวณตัวเลขต่างๆ
มีของเล่นชิ้นแรกเป็นลูกคิดรางแก้วแสนสวย
ด้วยความขยันขันแข็งของคุณตาและบรรดาลูกๆ
ทั้งสี่ซึ่งคุณแม่ของเธอเป็นลูกคนสุดท้อง
ฐานะทางการเงินจึงร่ำรวยและมั่งคั่งขึ้นตามลำดับ
หญิงสาวไม่แน่ใจนักหรอกและไม่คิดหาคำตอบว่าทำไมสมองของเธอจึงปราดเปรื่องเรื่องตัวเลขและการคำนวณนัก เธอเรียนได้เร็วกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
และเพราะฐานะทางบ้านที่ร่ำรวยสนับสนุนให้เธอเข้าเรียนโรงเรียนที่มีชั้นพิเศษสำหรับเด็กอัจฉริยะอย่างเธอ แต่ระบบการศึกษาไทยไม่เอื้อยอำนวยต่อเธอนัก
คุณตาสุพจน์จึงส่งเธอไปเรียนต่อที่อเมริกันทั้งที่อายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น
โบตั๋นได้รับการดูแลจากเพื่อนของคุณตาสุพจน์เป็นอย่างดี ตอนนั้นเธอชอบที่จะเป็น “คนโปรด” ของคุณตาสุพจน์
การร่ำเรียนให้ได้ผลการเรียนยอดเยี่ยมคือสิ่งที่เรียกความภูมิใจของเธอได้มากที่สุด
เธอคว้าปริญญาตรีในขณะที่อายุเพียงสิบแปดปี และปีนั้นควรเป็นปีแห่งที่แสนวิเศษทว่าเธอกลับต้องกลับเมืองไทยด่วนเนื่องจากคุณตาสุพจน์ล้มป่วยด้วยโรงมะเร็ง เธอมีโอกาสอยู่ดูใจคุณตาที่รักเพียงสองเดือนเศษท่านก็จากไป
เธออยู่เมืองไทยต่ออีกครึ่งปีก็กลับไปทำปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชื่อดังด้านการบริหารธุรกิจ
การมุ่งมั่นการเรียนและได้ชื่อว่าเป็น “เด็กอัจฉริยะ” ทำให้เธอมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม
เธอไม่ค่อยมีเพื่อนที่อายุเท่ากัน
เธอเป็นหลานรักของคุณตาแต่ในขณะเดียวกันก็แปลกแยกจากหลานๆ คนอื่นๆ
ถึงจะมีเธอก็รู้สึกว่าคุยกันไม่รู้เรื่องมันเป็นปัญหาที่คุณตาเป็นห่วงก่อนท่านจะเสียได้ฝากฝั่งให้คุณยายรับช่วงต่อดูแลเธอ
คุณยายรัมภาผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนเสมอจึงได้แนะนำให้เธอลองทำงานพิเศษในร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง
แรกๆ ที่เธอเริ่มทำงานนั้น
เธอจำได้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่แสนทุกข์ทรมาน
มันไม่ใช่เพราะเธอทนความลำบากไม่ได้ แต่เพราะเธอเข้ากับใครไม่ได้เลย
เงอะงะซุ่มซ่ามไม่กล้าพูดกับลูกค้า
ถูกเจ้านายบ่นอยู่บ่อยๆ
แต่เพราะเธอเป็นเด็กที่ถูกฝากฝั่งมาจึงไม่มีใครกล้าพูดจากับเธอแรงนัก หลายครั้งที่เธอนั่งเหม่อเพราะไม่อยากไปทำงาน
“หนูรู้สึกแย่มากๆ เลยค่ะคุณยาย” โบตั๋นสารภาพผ่านโทรศัพท์ทางไกล ทำงานมาได้ครบเดือนแล้วแต่เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น “หนูไม่ชอบเลยค่ะ หนูชอบอยู่ในห้องสมุดหรือไม่ก็ทำงานวิจัยมากกว่า”
“ไม่ไหวจริงๆเหรอหลาน” เสียงอ่อนโยนปลอบใจอย่างใจเย็น “นี่ไม่ใช่คำพูดจากปากของโบตั๋นแน่ๆ”
“แต่...คุณยาย....”
“ลองอดทนอีกนิดนะโบตั๋น
ยายเชื่อว่าหลานทำได้”
โบตั๋นแนบโทรศัพท์มือถือไว้กับอกด้วยความเหนื่อยใจ
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเก็บเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋าแล้วส่องตัวเองในกระจกเงาตรงหน้า
โบตั๋นเห็นภาพเด็กสาวผมยาวที่ถักเปียเรียบร้อยและสวมแว่นตากรอบบางสีเงิน
สงสัยว่าจะต้องหาเรื่องให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยช่วย
ให้เธอทำงานกับอาจารย์เป็นผู้ช่วยนักวิจัยหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ต้องพบปะผู้คน
หรือไม่ก็ต้องคิดค้นโปรเจคอะไรสักอย่างที่จะได้หาเหตุผลที่ไม่ต้องมาที่นี่
ไม่เอาเงินก็ได้แต่ขอให้พ้นจากสถานการณ์แบบนี้เสียที
โบตั๋นถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ เสื้อยืดสีดำพอดีตัวกับกางเกงยีนและรองเท้าคัทชูทำให้เธอดูคล่องแคล่วก็จริงแต่ในความเป็นจริงมันตรงข้าม
เพื่อนร่วมงานหันมามองเธอเป็นตาเดียวทันทีที่เธอผลักบานประตูเข้ามาความกดดันทำให้เธอเครียดและหลบตาเพื่อนคนอื่น
“ใครว่างอยู่รีบไปเก็บโต๊ะหน่อยเร็วเข้า”
สียงหัวหน้าสั่งทำให้โบตั๋นสะดุ้ง
เธอรีบคว้ารถเข็นแล้วเดินออกไปที่ด้านนอกทันทีจะว่าไปให้เธอล้างจานหรือขัดห้องน้ำหรือขนขยะไปทิ้งยังจะสบายกว่าด้วยซ้ำมือเรียวเล็กจัดการเก็บจานชามใส่รถเข็นแล้วหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดโต๊ะ
ขณะนั้นเองที่บานประตูเปิดออกพร้อมกับชายร่างสูงโปรงที่เดินเข้ามาพร้อมสาวสวยถึงสองคนที่คล้องแขนเข้ามา
“เฮ้! จัดการโต๊ะนี้ให้หน่อยซิ!
ฉันกับเพื่อนต้องการมุมที่ดีที่สุดตรงนี้”
โบตั๋นเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่แสนหยิ่งยโส
ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนไทยที่พูดสำเนียงภาษาอังกฤษสำเนียงใช้ได้แต่พฤติกรรมตรงข้าม เธอก้มหน้าเดินผ่านเขาเพื่อไปจัดการเช็ดโต๊ะในมุมที่เขาชี้นิ้วสั่ง
แต่เพียงแค่เดินผ่านเธอก็ได้กลิ่นเหล้าโชยออกมาราวกับมันเป็นน้ำหอมของเขาเอง
“ยังกลางวันอยู่แท้ๆ ไปเมามาจากไหนเนี้ย”
“อะไรนะ! เมื่อกี้เธอว่าพูดว่าอะไร”
“ปะ...เปล่าคะ ไม่มีอะไร” โบตั๋นสะดุ้งไม่คิดว่าเขาจะหูดี
แต่เมื่อเธอปฏิเสธเสียงแข็งทำให้เขาไม่พอใจกลับยื่นมือมากระชากไหล่เธอแรงๆ
จนเธอนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ
“ฉันได้ยินกับหูตัวเองแล้วยังบอกว่าไม่มีอะไรอีกเรอะ!
เธอคิดว่าฉันเป็นใคร!”
เพราะไม่ทันตั้งตัวแค่เพียงเขาผลักเธอเบาๆ
แต่ร่างเล็กกลับเสียหลักล้มลงไปกองก้นกระแทกพื้น
โบตั๋นร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บ
แว่นตาเธอตกเธอยื่นมือไปจะหยิบแว่นตาของตนแต่กลับถูกเท้าที่สวมรองเท้าหนังเป็นมันวาวเหยียบแตก
“ไหนขอดูชื่อหน่อยซิ
ทำงานได้ห่วยแตกแบบนี้ฉันสั่งไล่ออกได้ในห้านาทีนะ”
“คุณออกไปจากร้านเราจะดีกว่านะครับ”
เสียงหัวหน้าเอ่ยขึ้นแล้วเข้ามาช่วยประคองให้โบตั๋นลุกขึ้นยืน “ร้านเราต้อนรับแต่สุภาพชนเท่านั้น”
“อะไรนะ! นี่พวกแกรู้ตัวรึเปล่า!!”
“ผมว่าคุณชายศีตกาลกลับไปสงบสติอารมณ์ดีกว่า
ไม่อย่างนั้นทางร้านของเราจะโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาเชิญตัวคุณออกไป”
สองสาวสวยที่มาด้วยกันหน้าเสียรีบดึงแขนชายหนุ่มออกจากร้านไป แม้ว่าเจ้าตัวดูจะไม่ยอมง่ายๆ
แต่ในสภาพเมามายขาดสติเขาจึงถูกหญิงสาวที่มาด้วยกันพาออกไปอย่างรวดเร็ว
“คราวหน้าคราวหลังมีอะไรก็บอกซิ”
หัวหน้าหันมาดุโบตั๋น
แต่เมื่อหญิงสาวเงยหน้ามองรอบข้างเห็นเพื่อนพนักงานคนอื่นยืนอยู่ใกล้ๆ
พร้อมสายตาที่ห่วงใย
“มีอะไรก็อย่าเก็บเงียบไว้
คนที่นี่เราอยู่กันเป็นครอบครัวมีอะไรก็ช่วยเหลือกันเพราะฉะนั้นถ้าเธอต้องการให้คนอื่นช่วยเธอก็ต้องพูดมันออกมา...
เข้าใจไหม”
“ค่ะ...ขอบคุณทุกคนมากค่ะ”
โบตั๋นรู้สึกตื่นตันใจจนแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่
เพื่อนร่วมงานคนอื่นมาแตะไหล่เธอให้กำลังใจเธอรู้สึกถึงกำแพงในใจพังทลายลง
ความคิดที่อยู่คนเดียวก็ได้ไม่สนใจคนรอบข้างทำให้เธอต้องมองตัวเองใหม่
เธอเองก็รู้สึกผิดจริงๆ ที่ไม่เคยพูดจากับใครก่อนได้แต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาคนอื่นเสมอจึงไม่รู้เลยว่ามีความห่วงใยอยู่ใกล้ๆ
“เอ้า!หมดเวลาซึ้งแล้วทำงานต่อเร็วๆ เข้า” เสียงหัวเราะดังขึ้นแทนที
“หัวหน้าคะ คนนั้นเขาจะกลับมารังควนร้านเราอีกไหมคะ” โบตั๋นยิ้มให้กับทุกคนแต่เธอก็อดเป็นกังวลไม่ได้
“คนแบบนั้นเก่งแต่ปากเท่านั้นแหละ” หัวหน้ายักไหล่
“รู้แค่ว่าเป็นคุณชายมาเรียนคอร์สภาษาที่นี่แค่เดือนสองเดือนก็ดังไปทั่วแล้ว”
“คุณชาย?”
“ฮืม คุณชายศีตกาล เบญจมหาทรัพย์”
รู้สึกคุ้นหูแต่นึกไม่ออก โบตั๋นขมวดคิ้วแต่เพราะต้องทำงานต่อทำให้เธอลืมคิดถึงเรื่องของเขาไป
เธอเริ่มกลายเป็นคนใหม่พูดจาทักทายกับคนอื่น กล้าสบตาลูกค้าและไม่เอาแต่ก้มหน้าเดิน
คุณยายสบายใจที่รู้ว่าหลานสาวผ่านวิกฤตไปได้และเธอทำงานที่นั่นอยู่อีกสี่เดือนถึงได้ลาออกเพื่อที่จะทุ่มเทให้กับปริญญาโทสองใบที่เรียนพร้อมกัน
โบตั๋นลืมชื่อของเขาไปนานหลังจากเรียนจบกลับมาทำงานที่เมืองไทยเธอจึงได้ยินชื่อของเขาอีกครั้ง
คราวนี้เธอรู้แล้วว่าทำไมชื่อของเขาถึงคุ้นหูเพราะเป็นชื่อของผู้ชายที่คุณยายรัมภาเลือกให้เป็น
“สามี” ของเธอ.
|
สามีร้อยล้าน
|
ย่าหยา |
www.mebmarket.com
|
แผนที่ในมือถูกหยิบออกมาดูซ้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
ชายหนุ่มภาวนาให้มาผิดที่แต่หลังจากที่ขับรถหลงทางอยู่ราวสองชั่วโมง
เขากลืนน้ำลายดังเอิ๊ก! ก่อนท...
|
Get it now
| |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น