บทที่ 2
คุณ ‘อำภา’ แม่ของน้องข้าวซอยเป็นพี่สาวของคุณ
‘อำพร’ ซึ่งเป็นแม่ของโยษิตา
เดิมนั้นบ้านหลังน้อยนี้อบอุ่นไปด้วยคุณพ่อไพศาล-คุณแม่อำพร
ลูกสาวคนเดียวคือโยษิตาและคุณยายละเอียด ส่วนคุณตาสง่าได้จากไปตั้งแต่โยษิตายังเล็ก
แต่เมื่อสี่ปีที่แล้วรถยนต์คันหนึ่งที่แล่นแซงโค้งด้วยความเร็วจัดและความคึกคะนองของคนขับที่เมาสุราก็พรากลมหายใจของพ่อและแม่ของหญิงสาวไปอย่างไม่มีวันกลับ
บ้านที่เคยอบอวลด้วยเสียงหัวเราะสดใสจึงหม่นไปในทันทีนานนับปีกว่าสภาพจิตใจของลูกสาวคนเดียวจะดีขึ้น
กำลังใจที่ดีที่สุดในขณะนั้นก็คือมือเหี่ยวย่นที่ค่อยพยายามทำขนมไทยอร่อยๆ
ให้เธอได้กินทุกๆ วัน ใช่! เธอไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว เธอยังมีคุณยายที่รักและจะอยู่กับเธอตราบจนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะหมดลมหายใจสุดท้ายก่อนกัน
โชคดีที่พ่อทิ้งสมบัติให้เป็นบ้านหลังนี้และเงินประกันชีวิตของแม่ที่ทำให้เธอไม่ถึงขั้นลำบากมากมายนักและสามารถพยุงตัวเองจนเรียนมหาวิทยาลัยจนจบได้โดยไม่ต้องลาออกเสียก่อน แต่ระหว่างที่เรียนอยู่โยษิตาก็ทำงานพิเศษสารพัดเท่าที่เวลาว่างหลังจากการเรียนจะเอื้ออำนวย
เพราะอย่างน้อยที่สุดการทำงานทำให้เธอคลายความเศร้าในจิตใจลงได้บ้าง แต่ในทางตรงข้ามมันกลับทำให้โยษิตาเข้มแข็งจนดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
ก็ใช่นะซิ! คนอื่นๆ เขาไม่ต้องปวดหัวกับค่าใช้จ่ายในบ้านนี่นะ! ถึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านแต่รายจ่ายอย่างอื่นก็มี!
ทั้งค่าน้ำ,ค่าไฟ,ค่าโทรศัพท์แล้วค่ายาของยายละเอียดกับค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ
อีก อาหารการกินในบ้านไม่ใช่แค่เฉพาะของสองยายหลานเท่านั้น ยังมีหมาๆ แมวๆ
จรจัดที่ยายละเอียดชอบเอาอาหารไปให้ตามมุมถนน แถมตอนนี้มีมาเพิ่มอีกหนึ่งชีวิตค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกแน่ๆ
หญิงสาวแอบถอนหายใจหนักๆ ขณะนั่งกดเครื่องคิดเลขในสมองคำนวณรายรับ-รายจ่ายของที่บ้าน
โดยไม่ได้สนใจว่ายายละเอียดกับข้าวซอยกำลังทำอะไรอยู่ในห้องนั่งเล่น
โยษิตาเปิดหนังสือพิมพ์สมัครงานพลิกที่ละหน้าอย่างละเอียด มีรอยดินสอวงล้อมกรอบข่าวประกาศที่น่าสนใจความฝันที่จะเป็นครูประถมดูจะเลือนลางเหลือเกิน
ตอนนี้ไม่มีที่ไหนรับครูภาษาไทยเพิ่มทั้งของภาครัฐและเอกชน ถึงแม้ว่าเพิ่งจะเรียนจบได้แค่ไม่กี่เดือน
เธอก็ต้องเร่งหางานประจำทำให้ได้ก่อนไม่มีเวลาเที่ยวเล่นสนุกเหมือนเพื่อนๆ คนอื่นๆ
ตอนนี้ที่พอจะทำแก้ขัดไปก่อนคืองาน
‘วิจัยตลาด’ เรียกเสียสวยหรู
แต่ถ้าจะให้รู้จักแบบที่เข้าใจทั่วไปก็คือ ‘กรอกแบบสอบถาม’ ซึ่งจะต้องค่อยไปถามลูกค้าซึ่งเป็นคนทั่วไปตามสถานที่ต่างๆ
ตามที่บริษัทฯกำหนด ถามข้อมูลการใช้ผลิตภัณฑ์หรือพฤติกรรมผู้บริโภค มันเป็นงานพิเศษที่เธอทำตั้งแต่เรียนปีสี่เทอมสุดท้ายจนมาถึงตอนนี้ก็สี่-ห้าเดือนเข้าไปแล้ว
ถึงจะเป็นพิเศษแต่ก็เงินดีไม่น้อยหมายถึงว่าเธอต้อง ‘ขยัน’ ให้มากคุ้มค่าเงินด้วย
หรือว่า? มีอะไรก็ทำไปก่อน? อย่างที่คนอื่นๆ
พูดกัน!
“พี่ตาคิ้วชนกันแล้วค่ะ”
“อะไรนะคะ…ข้าวซอยว่าอะไรนะ”
“หนูบอกว่าคิ้วพี่ตาขมวดมาชนกันแล้วค่ะ” เด็กหญิงแสนซนถามอย่างใสซื่อ “เพราะข้าวซอยรึเปล่าคะ”
“ไม่ใช่หรอกจ๊ะ ข้าวซอยไปนอนดีกว่านะนอนพร้อมคุณยายให้คุณยายเล่านิทานให้ฟัง”
หญิงสาวหันไปหาคุณยายที่เดินตามเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามา ก่อนจะจับมือเล็กๆ จูงแขนเตรียมจะเข้านอน วันนี้เธอผจญภัยมาทั้งวัน
เอ่อ…ทั้งคืนด้วยมั้ง!
“อย่าคิดอะไรมากเลยนะยัยตา…อะไรๆ
มันไม่เลวร้ายนักหรอก ทุกอย่างมีหนทางของมันเสมอ”
“ค่ะ…คุณยาย”
หญิงสาวยิ้มบางๆ ให้คุณยายที่หลานตัวเล็กจูงแขนให้เข้าห้องนอนเตรียมฟังนิทานเรื่องโปรด
นึกๆ ไปเธอเองอาจะโชคดีกว่าข้าวซอยด้วยซ้ำไป เพราะข้าวซอยเป็นลูกติดจากสามีเก่าส่วนสามีคนใหม่ที่ทำให้คุณป้าอำภาต้องย้ายไปลงหลักปักฐานใหม่ถึงลำปางก็ดูท่าไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับเด็กผู้หญิงที่กำลังโตวันโตคืนแบบนี้ เธอเองถึงจะสูญเสียพ่อและแม่ไปแต่ตลอดเวลาท่านทั้งสองก็ให้คำว่า
‘อบอุ่น’ กับชีวิตของเธออย่างเต็มที่
ผิดกับข้าวซอยที่มักจะถูกดุด่าเฆี่ยนตีเป็นประจำ เป็นเหตุให้หนีออกจากบ้านมาหาเธอนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ฟังน้ำเสียงของป้าอำภาแล้วยิ่งไม่สบายใจ เหมือนกับไม่ต้องการตัวลูกสาวคนนี้แล้วจริงๆ
หรือเบื่อหน่ายพฤติกรรมหนีออกจากบ้านของข้าวซอยที่รู้ว่าอย่างไรก็ปลอดภัยดีทุกครั้ง
เฮ้อ! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว …โยษิตาสะบัดหน้าไปมาจนผมยาวที่ขมวดไว้เหนือท้ายทอยรุ่ยร่ายลงมาเคลียแก้ม ดูหน้าเธอในกระจกซิ!
อย่างกับยัยป้าอายุห้าสิบได้แล้วมั้ง! ทั้งๆ ที่ปีนี้เพิ่งจะยี่สิบสองเท่านั้นเอง
แถมยังไม่ได้รับปริญญาอีกต่างหาก
“เหมี๊ยว…”
“เจ้าเหมียว”
หญิงสาวก้มมองดูที่ใต้โต๊ะทำงานมุมห้องนั่งเล่น แมวจรที่เคยให้อาหารเป็นประจำเดินเข้ามานอนในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้มันโดนหมาเกเรที่ไหนไม่รู้รุมทำร้ายจนขนบริเวณหลังคอหายไปเป็นแถบๆ แต่หลังจากดูแลรักษาอย่างดีโดยคุณยายละเอียดตอนนี้มันกลับมาน่ารักน่าอุ้ม
เธออุ้มเจ้าแมวน้อยขี้ประจบขึ้นมานั่งบนตักแล้วลูบหลังมันเบาๆ
ก่อนระบายยิ้มออกมาบนใบหน้ากลมมนได้สัดส่วน
“อะไรๆ มันคงไม่เลวร้ายนักหรอกนะ!ใช่ไหมเจ้าเหมียว”
เจ้าแมวร้องเหมียวๆ
อย่างเอาใจ โยษิตากอดมันแรงๆ ทีหนึ่งก่อนปล่อยมันเป็นอิสระ เธอลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบที่เกาะร่างกายเธออยู่ก่อนเดินไปปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อยรวมทั้งหน้าต่างบ้านด้วย
ใช่! อะไรๆ มันไม่เลวร้ายนักหรอกนะ! ยัยโยษิตา!.
|
ทรายพราวแสง
|
เพลงมีนา |
www.mebmarket.com
|
ทิฐิที่มีทำให้สองหัวใจเดินทางสวนกันทั้งที่พร่ำเพรียกอย่างโหยหา
แต่เมื่อรู้ตัวเขาก็ยอมรับจากก้นบึ้งของหัวใจว่าหากครั้งนี้เขาปล่อยมือคู่นี้ไปหัวใจเขาคง...
|
Get it now
| |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น