ปรารถนาแห่งฟาโรห์ (ซีรีย์ชุดบัลลังก์ไอยคุปต์)
บทที่ 4
เด็กหนุ่มผู้รับตะกร้าสมุนไพรมาบ่นอุบอิบ แต่เรียกเสียงหัวเราะให้คนที่ได้ยิน ทุกคนต่างรู้ดีว่าสมุนไพรของอังค์เนสเป็นสิ่งต้องห้ามยิ่งกว่าสมุนไพรที่ท่านปู่เลจูหามาเสียอีก
หญิงสาวที่แตกต่างจากหญิงอื่นในหมู่บ้าน นอกจากจะเชี่ยวชาญวิชาการรักษาไม่ด้อยกว่าท่านปู่เลจูเลยสักนิดเธอมักแต่งกายประหลาดๆ
ด้วยเสื้อคลุมตัวยาวใหญ่ปกปิดร่างกายตนเองจนมิดชิด แถมอังค์เนสยังชอบทำตัวซุกซนเหมือนหนุ่มน้อยอีกด้วย
ทว่าผู้ที่รู้ดีว่าอังค์เนสซุกซ่อนความงามไว้ก็เพียงแค่ดังชีเท่านั้น และใครต่อใครในหมู่บ้านเล็กๆ
แห่งนี้ก็ทราบดีว่า อังค์เนสเป็นยอดดวงใจของบุรุษหนุ่มผู้แสนบึกบึนคนนี้
“ท่านปู่เลจู”
“ไปเล่นซุกซนที่ไหนจนเลยเวลาอีกละอังค์เนส”
น้ำเสียงที่สงบนิ่งประดุจน้ำที่ผนึกจนแข็งตัวของชายชราวัยเจ็ดสิบปีทำให้หญิงสาววัยสิบหกปีอย่างอังค์เนสเดินไหล่ห่อเข้ามาใกล้ๆ
“ข้ามิใช่ลิงน้อยที่จะซุกซนเล่นไปวันๆ” อังค์เนสแก้ตัว “ข้าก็บอกท่านปู่แล้วว่าไปเก็บสมุนไพร”
“เจ้าช่างมีเหตุผลมากมายที่จะแก้ตัว” เลจูโบกมือไปมาเหมือนจะตัดบท อังค์เนสจึงเพิ่งสังเกตเห็นข้างกายท่านปู่เลจูมีตัวยาหลายขนาดถูกจัดเตรียมไว้เหมือนจะออกเดินทาง
“ท่านปู่จะไปซัคคาราเหรอ”
“อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น” แม้จะไม่เงยหน้าขึ้นจากกองสมุนไพรตรงหน้าแต่คนฟังก็รู้ดีว่าน้ำเสียงนั้นมีแววอารมณ์ดีขึ้น
“พวกพ่อค้าเร่พูดคุยกันว่าที่นั้นมีโรคประหลาดระบาดอยู่” อังค์เนสเดินเข้ามาใกล้
“สำหรับคนเป็นหมอแล้ว
การได้พิชิตโรคภัยได้ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูงสุด”
“ผิดแล้วหลาน” เเลจูหันมาสบตากับหลานสาว “สำหรับคนเป็นหมอแล้วการรักษาชีวิตคนได้เป็นความสำเร็จอย่างสูงสุด”
“ความตายเป็นสิ่งที่เทพอานูบิสเป็นผู้มอบให้ มนุษย์อย่างเราจะขัดพระประสงค์ขององค์เทพได้หรือ” อังค์เนสเอ่ยถามดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส
“หากเป็นประสงค์ของเทพอานูบิส ผู้ทรงเป็นผู้ช่วยในการชั่งวิญญาณ
โดยเป็นผู้ดูตาชั่งอย่างละเอียดโดยมีขนนกเป็นเครื่องวัดถ้าขนนกเอนขึ้นแปลว่ามีความผิดมาก
ถ้าคนนกเอนลงถือว่ามีความดีมาก ส่วนเทพธอธจะเป็นผู้บันทึกการตัดสิน
เมื่อถือว่าวิญญาณนั้นบริสุทธิ์แล้ววิญญาณจะไปเข้าเฝ้าเทพโอสีริสเพื่อพิพากษาให้ไปสู่ในโลกแห่งวิญญาณใหม่
หากไม่บริสุทธิ์จะถูกลงโทษอย่างโหดร้าย เราคงไมอาจขัดประสงค์ขององค์เทพได้หากความตายยื่นมือมาสัมผัสเราคงไม่อาจหลุดพ้นได้
ทว่าหากเทพอานูบิสบัญชาให้เราอยู่เราก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการรักษาแบบที่เราทำอยู่”
“ความคิดของท่านปู่เลจูต่างจากเหล่านักบวชยิ่งนัก” อังค์เนสก้มศีรษะยอมรับ แท้จริงแล้วเธอชื่นชอบวิธีการสั่งสอนของท่านปู่เลจูมาก
“แล้วท่านปู่จะให้ติดตามด้วยใช่มั๊ย”
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่”
อังค์เนสอ้าปากค้างแล้วกระโจนเข้าเกาะแขนของท่านปู่เลจูเขย่าแรงๆ
“ทำไมละท่านปู่ ให้ข้าไปด้วยเถอะ ข้าจะได้ช่วยวินิจฉัยโรคประหลาดนั่นไง”
“แล้วถ้าเจ้าไปใครจะดูแลที่นี่”
ประโยคของเลจูทำให้อังค์เนสเถียงไม่ออก
ที่โรงหมอแห่งนี้มีคนเจ็บคนป่วยเข้ามารับการรักษาไม่เว้นแต่ละวัน และเธอเองก็ยอมรับว่าความสามารถของตนอาจมีไม่พอที่จะรักษาโรคประหลาดที่ยังไม่มีใครรักษาได้
“แล้วท่านปู่จะเดินทางอย่างไร” อังค์เนสพึมพำถามเบาๆ
อย่างเสียดาย
“ข้าเลือกคนที่จะเดินทางไปกับข้าแล้วเจ้าอย่าได้กังวลเรื่องนี้
แต่เจ้าอยู่ที่นี่ต้องเชื่อฟังดังชีอย่าดื้อกับเขานัก”
“ข้าทราบแล้ว” อังค์เนสรับคำ “ท่านปู่เลิกทำเหมือนข้าเป็นเด็กเล็กๆ
เสียทีเถิด”
“เจ้าคิดไปเองกระมั้งว่าเป็นเช่นนั้น” เลจูหัวเราะออกมา “เจ้าไปพักผ่อนเถิด
ของตรงนี้ข้าได้จัดการตระเตรียมแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่”
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวไปจัดการสมุนไพรที่ข้าเก็บมาได้ก่อน แล้วจะมาทานอาหารค่ำกับท่านปู่”
หญิงสาวเดินออกมาจากกระท่อมของเลจู
ผู้เป็นที่เคารพนับถือของทุกคนในหมู่บ้านและหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง กระท่อมที่พักของเลจูปลูกอยู่ใกล้โรงหมอขนาดย่อมมีลูกศิษย์ที่เคารพนับถือเลจูมาฝึกฝนวิชาแพทย์ที่นี่สามสี่คน และไม่ไกลนักเป็นกระท่อมหลังน้อยของอังค์เนส
หญิงสาวมักใช้มันเป็นห้องทดลองยาต่างๆ มากกว่าเอาไว้หลับนอนเสียอีก อังค์เนสชอบคลุมกายด้วยผ้าเก่าๆ
ไม่แต่งเครื่องหน้าหรือเสื้อผ้าสวยงาม ชอบทำตัวราวหนุ่มน้อยและเอาเวลาหมดไปกับการผสมสมุนไพรทำยาชนิดต่างๆ
และชื่นชอบการจับงูพิษเป็นชีวิตจิตใจ จนแทบจะเรียกได้ว่า
‘ที่ใดมีงูพิษที่นั่นมีอังค์เนส’
เมื่อเดินกลับมาที่กระท่อมของตนก็พบตะกร้าสมุนไพรแขวนอยู่หน้าบ้าน
หญิงสาวยิ้มบางๆ
ที่มุมปากก่อนหยิบมันมาดูอย่างทะนุถนอมราวกับพวกมันเป็นดอกไม้แสนงาม
“ต้องคัดแยกสมุนไพรก่อน”
หญิงสาวสั่งตนเองแล้วถอนหายใจเบาๆ
นึกเสียดายที่ไม่ได้เดินทางไปกับท่านปู่เลจูเพื่อที่จะได้ศึกษาโรคประหลาดนั่น..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น