ลิขิตรักในเพลิงทราย (ชุดเล่ห์รักในรอยทราย)
บทที 3
บุรุษหนุ่มในชุดเสื้อคลุมตัวยาวกรอมเท้าอันเป็นชุดประจำชาติ
เขากระตุกบังเหียนบังคับอาชาสีขาวพิสุทธิ์ให้หันมองไปตามทางรถลีมูซีนคันหนึ่งที่เพิ่งแล่นเข้าเขตพระราชฐานไป ดวงตาสีสนิมเหล็กทอประกายเจิดจ้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว
“องค์รัชทายาท”
ราเฟย์ บิน อัจฟาห์ หันไปตามเสียงที่เรียกเบาๆ
ของคานัน คนสนิทและองครักษ์ประจำตัวขององค์รัชทายาทแห่งบาฮาเนีย ชายหนุ่มปรายตามองอย่างรับรู้ถึงการมาของอีกฝ่าย
“อีกสามสิบนาทีผู้แทนการค้าน้ำมันจะมาถึงครับ” คานันรายงาน
“แต่นั่นคงไม่ใช่รถที่รับผู้แทนการค้า”
“เอ่อ...กระหม่อมไม่ทราบ” ชายหนุ่มองค์รักษ์ร่างกำยำอึกอัก
เขาสวมเสื้อผ้าชุดประจำชาติไม่ได้แต่งกายเป็นทหารเต็มยศ
เพราะนั่นคือความประสงค์ของเจ้านายของเขา ผู้มีอำนาจในชีวิตเขาทุกอย่าง
“หรือพวกฝ่ายขวาจะมีการเคลื่อนไหว” ราเฟย์เปรยออกมา
“กระหม่อมจะไปสืบความมาให้”
ราเฟย์กระตุกยิ้มที่มุมปาก เขาบังคับม้าให้เดินเหยาะๆ กลับเข้าวังโดยไม่หันไปมององค์รักษ์หนุ่มผู้แสนรู้ใจ
ทันทีที่พระวรกายสูงสง่าลงจากหลังอาชาสีขาว เหล่าทหารมหาดเล็กรีบกุลีกุจอมารับม้าประจำพระองค์
ราเฟย์ลูบคอม้าเบาๆ ก่อนเดินเข้ามาในพระราชวังของตน แต่ยังไม่ทันจะถึงห้องหนังสือซึ่งเป็นที่หมายในใจ
ปรายตาก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แม้เจ้าของใบหน้าคมเข้มจะไม่ค่อยแย้มยิ้มแต่ก็อดขำน้อยๆไม่ได้
“เจ้าอยากจะเป็นลิงน้อยหรือเป็นเจ้าหญิงแห่งบาฮาเนียกันแน่...จัสมิน”
“พี่ราเฟย์” ร่างเพรียวบางที่หลบหลังต้นเสาทอดเสียงยาวอย่างหมดสนุก
จัสมินหรือ องค์หญิงจัสมิน บิน
อัจฟาห์ เดินมาคล้องแขนของราเฟย์อย่างออดอ้อน ใบหน้าสวยหมดจด
ผิวสีน้ำผึ้งเนียนสวยผมยาวสลวยหยักเป็นลอนสีแดงเพลิงเร้าร้อนเหมือนแววตาซุกซนของเธอ
จัสมินเป็นลูกสาวที่เกิดจากนางสนมซึ่งเป็นสาวอเมริกันที่เป็นครูสอนหนังสือ เมื่อพ้นวัยเด็กได้ไปร่ำเรียนที่อังกฤษโดยใช้ชีวิตอย่างสามัญชน
เธอเพิ่งเรียนจบเศรษฐศาสตร์กลับมาอยู่ที่บาฮาเนียได้ไม่ถึงสองเดือน
และด้วยนิสัยแบบ ‘ผู้หญิงสมัยใหม่’ ทำให้เธอดูเป็นคนแปลกแยกไปกว่าคนอื่นๆ
มีแต่ราเฟย์เท่านั้นที่ยังปฏิบัติตัวตนเธอไม่ต่างจากเมื่อสิบปีที่แล้วนัก
ราเฟย์กระตุกยิ้มที่มุมปากมองดูหญิงสาวผู้เป็นน้องต่างมารดา
เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคอระบายกับกระโปรงยาวคลุมเข่า เขาแอบถอนใจเพราะเกรงว่าน้องสาวที่ไปใช้ชีวิตอยู่ซีกโลกตะวันตกจะแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจนรับไม่ได้
แม้ว่าบาฮาเนียจะเข้าสู่ยุคใหม่ กฎหมายหลายข้อที่ปรับให้หญิงชายมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน
แต่กระนั้นเขาเองก็ยอมรับว่า คงทำใจไม่ได้ถ้าจะเห็นผู้หญิงในบาฮาเนียนุ่งสั้นจนเห็นโคนขาหรือเสื้อผ้ารัดติ๋วจนแทบหายใจไม่ออก
“ถ้าเลือกได้น้องขอเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาดีกว่าค่ะ”
จัสมินตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แต่เป็นความรู้สึกจริงจากใจอย่างที่คนฟังก็เข้าใจความหมายนั้นดี
ทั้งคู่เดินเข้ามาในห้องหนังสือซึ่งเป็นมุมโปรดของเจ้าชายราเฟย์
“แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้”
ราเฟย์เตือนสติน้องสาวต่างมารดาเบาๆเขาเอ็นดูจัสมิน มากกว่าน้องสาวหรือน้องชายคนอื่น
ในบาฮาเนียลูกชายมีความสำคัญกว่าลูกสาวเสมอ
ลูกที่เกิดจากหญิงต่างชาติอย่างจัสมิน ไม่มีใครสนใจเหลียวแลนอกจากเสด็จแม่ของเขา ทำให้ราเฟย์สนิทสนมกับจัสมินมากเป็นพิเศษ แต่เพราะฐานะที่เขาเป็นถึงองค์รัชทายาททำให้เขาไม่สามารถแสดงท่าทางสนิทสนมรักใคร่กับใครมากไม่ได้
หลายต่อหลายคนที่พยายามใกล้ชิดเขาก็เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาจึงชินชากับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
เพราะแม้กระทั่งคนที่เขาเรียกว่า ‘คนรัก’ ยังทรยศเขาได้
“พี่ราเฟย์ได้ไปเยี่ยมท่านพ่อบ้างมั๊ย” เพราะความสนิทสนมจัสมินจึงไม่ใช้ราชาศัพท์กับพี่ชายที่เป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งบาฮาเนีย
“เมื่อวานก็ไปเข้าเฝ้ามา” เขาตอบน้ำเสียงเยือกเย็นพร้อมกับเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนโต๊ะทำงาน “แล้วทำไมเราไม่ไปเยี่ยมล่ะ
มาถามพี่ทำไม”
“พี่ราเฟย์ก็รู้นี่” จัสมินทอดน้ำเสียงน้อยใจ
“เสด็จพ่อไม่โปรดลูกสาวมาแต่ไหนแต่ไร เข้าไปก็ไม่มีประโยชน์เกรงว่าพระอาการอาจจะทรุดหนักก็ได้”
“อยากให้พี่พาไปว่างั้นเถอะ” ราเฟย์มองน้องสาวอย่างรู้ทัน
“สมกับเป็นพี่ชายที่รู้ใจน้องสาวที่สุดเลยค่ะ” จัสมินกระโดดกอดคอราเฟย์อย่างลืมตัว
คนเป็นพี่กระแอมไอสองสามครั้งเธอจึงปล่อยมือออกแล้วยิ้มทะเล้น
“อีกวันสองวันก็แล้วกันนะ พอดีพี่มีประชุมกับตัวแทนการค้าน้ำมัน”
“ได้ค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูห้องหนังสือ แต่ก่อนออกไปเธอหันหาเขาอย่างเพิ่งนึกได้ “น้องตอบตกลงไปเป็นอาจารย์พิเศษให้ที่มหาลัย
จะเริ่มงานต้นเดือนหน้า ตอนนี้น้องยังว่างจะใช้งานอะไรก็รีบใช้นะคะ”
ราเฟย์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ จะว่าไปเขาก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะน้องสาวคนนี้มักตัดสินใจทำอะไรโดยไม่ปรึกษาใครอยู่แล้ว
เพียงแต่ไม่คิดว่าจัสมินจะเริ่มทำงานเร็วนัก เขาคิดอีกครึ่งปีเป็นอย่างเร็วน้องสาวแก่นแก้วคนนี้ถึงนึกอยากทำงานทำการ
ชายหน้าหนุ่มส่ายหน้าไปมาเขาจัดการเรียกข้อมูลที่ต้องการออกมาจากคอมพิวเตอร์และลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวเข้าประชุมงานที่รออยู่ในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า
อารยาออกจะตื่นเต้น ไม่ซิ! ตื่นตะลึงถึงจะถูกหลังจากเข้าประเทศบาฮาเนียเธอก็ไปพักที่บ้านหลังของคาร์ดัลซึ่งหลังใหญ่ราวกับคฤหาสน์
เขาจัดการให้สาวใช้ซื้อเสื้อผ้าให้เธอใหม่ทั้งหมดและทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมเนียมประเพณีของที่นี่
คาร์ดัลเป็นคนอ่อนโยนและมีเมตตาแม้ว่าใบหน้าจะดูเคร่งขรึมตลอดเวลา
แต่ตลอดสัปดาห์คาร์ดัลก็ไม่ปริปากเอ่ยชื่อ ‘เจ้านาย’ ที่เธอต้องไปดูแล
แต่เช้านี้เธอถูกเรียกให้เตรียมตัวแต่เช้าเพื่อเข้าไปพบ ‘เจ้านาย’ แล้วคาร์ดัลก็พาเธอมาที่พระราชวังใหญ่โตมโหฬารอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน
‘ตายแน่อารยา...นี่ฉันรับงานกับใครกันนี่’
อารยาพึมพำกับตัวเองเธอมองดูเสื้อผ้าที่สวมใส่
เสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาวเข้ากับกระโปรงพลีทยาวคลุ่มเข่า รองเท้าหุ้มส้น ดูๆ ไปเหมือนคุณครูมากว่าพยาบาลพิเศษ
แม้จะเป็นเสื้อผ้าเรียบๆ แต่ก็ตัดเย็บด้วยเนื้อผ้าอย่างดี ผมยาวสลวยถูกรวบเป็นมวยเหนือท้ายทอยเผยลำคองามระหงและโครงหน้าได้รูป
แม้จะแต่งหน้าเพียงบาง ๆ แต่ผิวขาวเนียนละเอียดและแก้มที่ฝาดเลือดก็ชวนมอง
“พระองค์ให้เข้าเฝ้าได้แล้วครับท่านคาร์ดัล” องครักษ์หนุ่มคนหนึ่งเข้ามารายงาน
“ขอบใจ” คาร์ดัลพยักหน้ารับและหันไปบอกกับหญิงสาวที่เขาพามาด้วยภาษาอังกฤษ
“เข้าไปกันเถอะ”
“เอ่อ...ค่ะ”
หญิงสาวรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก หากเป็นเรื่องงานเธอเป็นคนที่มั่นใจในความสามารถของตนเองยกเว้นครั้งนี้
อารยาเดินตามแผ่นหลังของคาร์ดัลเข้าไปในห้องบรรทมของฮัสซัน กษัตริย์
แห่งบาฮาเนีย บุรุษร่างใหญ่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราสีดอกเลา แม้จะทรงกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนที่นอนหนานุ่มแต่ก็ดูสง่างามและน่ายำเกรง
“เราให้เจ้าไปเจรจาธุรกิจกลับได้ของแถมมาให้เราอีก” ฮัสซันเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ “นี่นะหรือพยาบาลพิเศษจากเมืองไทยช่างสรรหาจริงๆ
นะคาร์ดัล”
“มิได้ฝ่าบาท” คาร์ดัลยิ้มที่มุมปาก
“เพื่อพระองค์ชีวิตของเกล้ากระหม่อมก็ยอมพลีได้”
“ชีวิตเจ้า เราจะเอามาทำอะไร” ฮัสซันหัวเราะเสียงดัง “เอาเถอะ
แล้วแม่หนูนี่ชื่ออะไรนะ”
“อารยาค่ะ เอ่อ...” หญิงสาวตะกุกตะกักเกรงจะพูดจาไม่เหมาะกับฐานะ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก เราต้องฝากเจ้าดูแลเราด้วย” อัสซันหันไปสั่งนางกำนัลเบาๆ
ก่อนจะหันมาคุยกับพยาบาลคนใหม่ “เดี๋ยวเจ้าคุยกับหมอยามาทเป็นหมอประจำตัวเรา
แล้วจะเริ่มรักษาเมื่อไหร่ยังไงค่อยคุยกันอีกที”
“ค่ะ” อารยายิ้มรับบาง ๆ
“งั้นกระหม่อมขอตัวก่อน
พระองค์จะได้ทรงพักผ่อน”.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น