บทที่ 3. พบกันล้วนเกิดจากวาสนา2
นางส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้ม
นางจะออกจากสกุลเกาได้อย่างไร ทุกคนดีต่อนางมาก
แม้นางไม่มีเบี้ยรายเดือนเช่นผู้อื่น
แต่ทุกครั้งที่ทำงานก็มีคนยื่นก้อนเงินให้นางเสมอ นายท่านรองพานางขึ้นเขาเข้าป่าเรียนรู้การหาของป่าและสมุนไพร
อนุญาตให้นางนำออกมาขายได้ด้วยตนเอง นับว่าเป็นการสอนให้นางใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง
การที่นางแอบมาเป็นลูกมือแม่ครัวจวนสกุลสวินเช่นนี้ไม่มีผู้ใดรู้
นางเกรงว่าทุกคนเข้าใจผิดคิดว่าเงินทองขาดมือ หรือถูกผู้อื่นรังแกจนอยู่ในสกุลเกาไม่ได้
จนต้องมาทำงานเช่นนี้
นางเพียงแค่อยากรู้สึก
‘ใกล้ชิด’
ผู้มีพระคุณของนางก็เท่านั้น
แย่จริง!
นางอายุแค่สิบห้า เพิ่งพ้นวันปักปิ่นมาแค่ครึ่งเดือน
เหตุใดเอาแต่หมกมุ่นคิดถึงแต่เรื่องบุรุษผู้นั้นนะ
เสิ่นฉางซีปลดผ้ากันเปื้อน ล้างไม้ล้างมือจนสะอาด
นางเอ่ยลาคนในครัวอีกเล็กน้อยแล้วเดินออกทางประตูหลังของจวน
เสียงดนตรีที่แผ่วดังลอยมาตามลมทำให้นางชะงักแล้วเอี้ยวตัวหันไปมองเล็กน้อย
นางกระชับผ้าคลุมศีรษะอีกครั้งคล้ายย้ำถึงความอัปลักษณ์ของตนเองก่อนยิ้มเศร้าออกมา
ได้ใกล้ชิดแค่นี้ก็พอแล้ว อย่าให้หญิงอัปลักษณ์อย่างนางเป็นที่ระคายสายตาผู้อื่นเลย
เด็กสาวระบายลมหายใจ
หมุนตัวเดินออกมาแล้วค่อยๆ เร่งเท้าเดินเร็วขึ้นเพราะเกรงว่าคนที่มาด้วยจะรอนาน
นางเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางสายรอง จนมาถึงโรงหมอหวังข่าย
เด็กสาวยิ้มให้คนที่เฝ้าหน้าประตูแล้วก้าวเข้าไปด้านในอย่างคุ้นเคย
พลันเห็นบุรุษสองคนนั่งประจันหน้ากันอยู่โดยมีกระดานหมากล้อมวางอยู่ตรงกลาง
เสิ่นฉางซีลอบยิ้มอย่างโล่งอกแล้วค่อยๆ นั่งลงไม่รบกวนคนทั้งสอง
“แพ้ก็ยอมรับว่าแพ้เถิด
ท่านเกาเทียนฉี”
“ได้อย่างไรกัน ข้ายัง...”
จะบอกว่าไม่แพ้ก็พูดได้ไม่เต็มปาก จึงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดของตัวเองเสีย
“นี่ๆ ท่านเกาเทียนฉี
ข้าอยากให้นังหนู อ่อ ไม่สิ เจ้าไม่ใช่นังหนูแล้วนี่”
ท่านหมอหวังข่ายชำเลืองตามองเด็กสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แล้วส่งยิ้มเอ็นดูให้นาง
“ฉางซีเป็นสาวแล้วนี่นะ”
“ท่านหมอหวังอย่าล้อข้าเล่นเลยเจ้าค่ะ”
เสิ่นฉางซีหัวเราะเบาๆ แล้วรินน้ำชาให้ทั้งสองท่าน
“เจ้ามาศึกษาการรักษาคนกับข้าดีกว่าไปอยู่สวนสมุนไพรชายป่าโน้น”
คนเป็นหมออดส่ายหน้าด้วยความเสียดายไม่ได้ เด็กคนนี้มีแววดี
แม้เป็นสตรีแต่หากฝึกฝนให้ดี วันข้างหน้าย่อมมีหนทางก้าวหน้าเป็นแน่
“ไม่ได้” เกาเทียนฉีรีบแย้งทันควัน
“หากนางมาอยู่กับหมออย่างเจ้า แล้วใครจะช่วยดูแลสวนสมุนไพรของข้า นางมือเย็น
เพาะปลูกสิ่งใดก็งอกงามได้ดี”
“เจ้านี่ช่างเห็นแก่ตัวนัก
ให้เด็กสาวบอบบางไปทำงานในไร่ในสวนได้รึ!”
“แล้วเจ้าเล่า
นางเป็นหญิงจะให้ไปเป็นหมอถูกเนื้อต้องตัวบุรุษได้อย่างไรกัน”
ทั้งสองต่างแยกเขี้ยวยิงฟันใส่กัน
เสิ่นฉางซีมิได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก
แต่นางอดหัวเราะกับท่าทางเหมือนเด็กน้อยของบุรุษทั้งสองมิได้
ดีจริง
เป็นหญิงอัปลักษณ์ที่มีคนต้องการตัวเช่นนี้
“นายท่านรอง ถ้าไม่รีบเดินทางกลับ เห็นทีว่าจะกลับเข้าสำนักคุ้มภัยมืดค่ำนะเจ้าคะ”
“อ๊ะ! ข้านี่ก็แย่จริง
มาส่งสมุนไพรให้เจ้าหมอหัวรั้นนี่ทีไร อยู่เล่นหมากล้อมลืมเวลากันทุกที”
เกาเทียนฉีอาศัยเหตุผลนี้แสร้งทำเป็นไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในหมากล้อมกระดานนี้
“เช่นนั้นข้าขอลาท่านแล้ว”
“ประเดี๋ยวก่อน”
คนเป็นหมอลุกเดินตามแต่ไม่ทัน “นางไม่ใช่เด็กแล้ว อย่าจับมือนางเช่นนั้นสิ”
หมอหวังข่ายเห็นเกาเทียนฉีคว้าข้อมือเด็กสาวได้รีบจ้ำพรวดๆ
ออกมา
เขาได้แต่ตะโกนไล่หลังด้วยความโมโหเจ้าคนไม่ยอมรับความพ่ายแพ้แล้วยังพาตัวเด็กสาวไปหน้าตาเฉย
เกาเทียนฉีจูงมือเสิ่นฉางซีมาถึงรถม้าที่จอดไว้ด้านหลังโรงหมอของหวังข่าย
แท้จริงทั้งสองเป็นสหายรักกันแต่มักพูดจาเหมือนคนทะเลาะกันตลอดเวลา
ปีนี้เกาเทียนฉีอายุยี่สิบหกแล้ว
เขาเคยแต่งภรรยาแต่นางป่วยตายหลังจากแต่งงานกันได้เพียงปีเศษ
หลังจากนั้นเขาไม่เคยมีสตรีเคียงข้าง วันๆ คล้ายคนบ้าเอาแต่คลุกอยู่กับสวนสมุนไพร
เมื่อห้าปีก่อน
เกาฮ่วนปิ่งและไต้ซือซูพาเด็กหญิงตัวน้อยมารักษาอาการบาดเจ็บที่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม
เขาผู้ซึ่งนับถือไต้ซือซูประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอนเรื่องสมุนไพรนั้นจึงได้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บสาหัสของเสิ่นฉางซี
เด็กหญิงตัวน้อยที่อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่ร้องโวยวาย
ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมทำให้เขาได้สติ นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ
ที่เขาคอยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนางไปตามลำดับขั้นตอนด้วยความใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อนางยังเป็นเด็กน้อย
บาดแผลของนางน่าเกลียดน่ากลัว มักถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยตอบโต้
เขาจึงได้แต่คอยจูงมือเด็กหญิงมิให้คนอื่นมารังแก เพียงพริบตา ข้อมือเล็กๆ
ที่เขาเคยจับจูง ยามนี้เป็นข้อมือของเด็กสาวเสียแล้ว อาจเป็นความคุ้นชิน
มือหยาบกระด้างจับเอวของเด็กสาวยกขึ้นตัวลอยให้นางขึ้นรถม้า และเขาก็ไม่เคยถามว่าทุกครั้งที่พานางเข้าเมืองมา
นางมักจะหายไปหนึ่งถึงสองชั่วยามเสมอ นางไม่เคยปริปากเล่า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไร
แต่ไม่เคยบอกนางว่าครั้งหนึ่งเคยแอบตามนางไป
เด็กหญิงตัวน้อยเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งแต่มันมอดไหม้เหลือเพียงเศษซากที่พอจะเห็นว่าเคยเป็นบ้านหลังน้อยมาก่อน
เด็กหญิงไม่มีน้ำตาได้แต่เดินคุ้ยเขี่ยหาบางสิ่งในกองเถ้าถ่านนั้น
แต่ไม่มีสิ่งใดติดมือออกมาสักชิ้นเดียว
“นายท่านรอง” เสิ่นฉางซีเรียกเบาๆ
เมื่อเห็นสีหน้าเหม่อลอยของเกาเทียนฉี
“อ่อ...กลับกันเถิด”
“อืม”
เกาเทียนฉีเดินไปนั่งที่ด้านหน้า
บังคับม้าให้ค่อยๆ เดิน มุ่งหน้ากลับสู่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม
เด็กคนหนึ่งรอดพ้นความตายมาได้ราวปาฏิหาริย์
แม้มีชีวิตแบกความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ
แต่ใบหน้าของนางยังคงประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ
ความทุกข์ใจที่เขามี
หากเทียบกับเด็กสาวคนนี้แล้วอาจนับได้ว่าน้อยนิดจริงๆ.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น