ปฏิบัติการหัวใจคุณผียอดวุ่น
ตอนที่
2
โซดาสะดุ้งเมื่อบานประตูถูกผลักออกและร่างบอบบางเดินออกมา
เธอไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่หน้าประตูกระจก เออนะ! ตึกนี้มันจะเป็นกระจกทั้งหลังให้คนเดินผ่านสับสนเล่นรึไงนะ
อีกฝ่ายยิ้มบางๆ ให้
โซดาจับจ้องใบหน้ากลมมนได้รูปที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใดๆ แต่ดูขาวซีดเหมือนคนป่วยไข้
เสื้อคอจีนสีชมพูอ่อนรับกับกระโปรงยาวสีเข้มกว่าสีเสื้อเล็กน้อย ในมือข้างหนึ่งหิ้วกล่องไม้ใส่ไวโอลีน
โซดาเอี้ยวตัวหลบทางให้อย่างเขินๆ ไม่ถึงห้านาทีรถเก๋งคันใหญ่ก็เข้ามาจอดเทียบ คนขับรถวิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้และร่างบอบบางก็ก้าวขึ้นรถจากไป
ทิ้งให้เธอยืนอยู่คล้ายฝุ่นผง ณ บริเวณนั้น
“ไม่เอานะ
อย่าคิดมากซิ ต้องเชื่อมั่นในตัวเองท่องไว้ซิ!!! โซดา”
โซดายกมือสองข้างขึ้นตบแก้มเบาๆ เธอจะทำเช่นนี้เสมอเมื่อเรียกสติตัวเองและให้กำลังใจในช่วงที่รู้สึกอ่อนล้า
หลับตาครู่หนึ่งเมื่อลืมตาขึ้น เธอจะยิ้มรับกับทุกสิ่งที่เข้ามาไม่ว่าจะร้ายดีเพียงใด
รอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แล้วเธอก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
เมื่อลืมตาอย่างรู้สึกสดชื่นขึ้นเหมือนมีพลังงานบางอย่างพวยพุ่งจากภายใน แต่ในขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือของตน
สายตาก็เผชิญกับดวงตาสีสนิมเหล็กที่ยืนจ้องมองตัวเธออยู่ตรงข้ามฝากถนนเส้นเล็กๆ
หน้าบริษัทฯ
ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาอ่อนโยนปนเหงาหลังแว่นตาทรงกลมกรอบสีเงินกำลังมองเธออยู่!
ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนเข้ากับกางเกงแสลคเนื้อดี และรองเท้าหนังสีดำเป็นมันวาว
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซอยผมสั้นรองทรงสะอาดตา รับกับแว่นตาทรงกลมกรอบเงินที่เขาสวมบนใบหน้า
เด็กสาวเหลียวมองรอบข้างร้างไร้ร่างใคร จนมั่นใจว่าสายตาของชายหนุ่มแปลกหน้าฝั่งตรงข้ามจ้องมองอยู่
เธอก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย บางทีเขาคงเห็นท่าทางเปิ่น
ๆ ของเธอเลยยืนมองดูอยู่ก็ได้
‘โธ่!
โชว์เปิ่นอีกแล้วซิเรา!
เฮ้อออออ’
“โซดา”
เจ้าของชื่อหันไปทางต้นเสียง
รถมอเตอร์ไซด์ขนาดสี่สูบเคลื่อนมาจอดขนาบข้าง คนขับเปิดกระจกหน้าหมวกกันน๊อคสีดำขึ้นแล้วยิ้มให้จนตาหยี
“อ้าว…พี่ตั้มมาทำอะไรแถวนี้”
“อบรมเสร็จแล้วใช่ไหม จะกลับรึยังละ” คนถามไม่รอคำตอบแต่ยื่นหมวกกันน๊อคอีกใบเป็นลายทหารส่งให้
“แอบเอารถลูกค้ามาซิ่งแบบนี้จะดีเหรอ”
“เฮ้ย...เค้าเรียกว่าเอารถมาลองเครื่องพูดแบบนี้ไม่ดีนะเบบี้”
“ค่ะ ลองเครื่องก็ลองเครื่อง งั้นไปส่งโซดาหน่อยนะ”
“ คร๊าบผม!” เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมเสียงบิดคันเร่ง “
มารับโดยเฉพาะอยู่แล้วจ้า”
ร่างเพรียวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์ขนาดใหญ่แบบสปอตร์ไบค์ เสียงเครื่องครางกระหึ่มก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปพร้อมกับร่างสองหนุ่มสาว
โซดาหันไปสบตากับชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั่น คล้ายมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ในสายตาหลังแว่นตาทรงกรมกรอบเงิน
แต่แรงกระชากของรถทำให้เธอเลิกสนใจ แล้วเกาะเอวคนขับแน่นแนบหน้าลงกับแผ่นหลังจนได้กลิ่นเหงื่อปนโคโลญจ์
อ่อน ๆ จากเสื้อยืด
โดยไม่รู้ว่า
เจ้าของดวงตาเหงาๆ มองร่างบางที่คร่อมมอเตอร์ไซด์จนสุดสายตา!.
รถมอเตอร์ไซด์คันเท่แล่นมาตามถนนสายหลักเรียกสายตาของหนุ่มสาวข้างทางให้เหลียวมอง
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากสุขุมวิทก็มาถึงเทเวศร์ รถเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ
มาจอดนิ่งที่หน้าตึกแถวแห่งหนึ่งสภาพเก่าคล้ายคนแก่ชราที่เฝ้ามองกาลเวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า
“ขอบคุณค่ะพี่ตั้ม” โซดาถอดหมวกกันน๊อคและส่งคืนให้
“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นกับข้าวอร่อยๆ
สักมื้อนะ” ชายหนุ่มถอดหมวกกันน๊อคของตนเอง เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลแดงดูขัดกับใบหน้าอาตี๋อินเตอร์
“เออ...จะใส่บาตรกรวดน้ำไปให้แล้วกัน”
“โห...ไอ้เบียร์ปากเป็นมงคลจริงนะแก”
“พี่เบียร์หายดีแล้วเหรอ”
โซดาหันไปตามต้นเสียง พี่เบียร์ พี่ชายของเธอยืนหน้านิ่งมือกอดอกอยู่หลังบานประตู
เด็กสาวแอบยิ้ม วันนี้ท่าทางพี่ชายของเธอมีอาการดีกว่าเมื่อสองสามวันก่อนที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จนต้องหยุดงานที่ร้านอาหาร
เบียร์เป็นพ่อครัวอายุน้อยอยู่ที่ร้าน “ชื่นบุรี”
แถวเยาวราช ผิดกับโซดาลิบลับที่ไม่ได้เชื้อพรสวรรค์การทำอาหารจากพี่ชายเลยแม้แต่น้อย
แค่ไข่เจียวเธอยังทอดได้ไม่เหลืองฟูชวนชิมเลย งานพ่อครัวที่พี่เบียร์ทำอยู่ทำให้เธอก็ได้อาหารดีๆ
ที่เป็นของเหลือจากร้านที่พี่เบียร์หิ้วมาฝากเสมอ
“นี่
เพื่อนเอ็งนะ ยังไงก็ไม่จีบน้องโซดาสุดซ่าของเอ็งหรอก” ตั้มทำท่ายียวนใส่
“รู้ตัวก็ดีแล้ว
แต่ที่ห่วงนะกลัวเจ้าของรถจะมาตามทวง
ถือว่าบ้านทำอู่ซ่อมรถรึไงจะเอารถลูกค้ามาขับเล่นอย่างนี้”
“เฮ้ย...อีกคนแหละ
เค้าเรียกว่าลองเครื่องรถเฟ้ย...”
“มันก็แค่ข้ออ้างแหละหว่า
เที่ยวขับลูกค้าไปอวดสาวๆ ระวังเจ้าของรถจะโวยวายเอา โซดาก็เหมือนกันไม่จำเป็นไม่ต้องไปนั่งรถมันหรอก
เดี๋ยวโดนลูกหลงเข้าด้วย”
“อ้าว
เฮ้ย ว่าข้าคนเดียวก็พอแล้วน้องโซดาเค้าไม่เกี่ยวหรอก อีกอย่างนะ
น้องเค้าก็เพิ่งเข้ากรุงเทพแค่เดือนกว่าๆ จะไปจำทางรถเมล์หมดได้ไง ข้าก็หวังดี...”
“เออ...งั้นนี่ข้าก็เป็นนี่บุญคุณเอ็งงั้นซิ”
“ฮืมใช่...ใช่
คิดเป็นเหมือนกันนะเรา เก่งๆ ขอมือหน่อยสิ” คนพูดยิ้มขำทำทะเล้นยื่นมือไปเกาคางอีกฝ่าย
“พอเลย...ไปไหนก็ไป
ป่านนี้น้ำหวานเหงื่อซกแล้วไม่มีใครช่วยตั้งร้าน”
“เออ...ไปก่อนนะ”
เพียงแค่เอ่ยชื่อน้ำหวาน
ตั้มก็ยิ้มเขินจนตาหยีผิดกับท่าทางยียวนกวนประสาท เขาโบกมือลาน้องสาวเพื่อนซี้ที่แม้จะปะทะคารมกันบ่อยครั้ง
แต่ก็เกิดจากความสนิทสนมเกือบสิบปีที่รู้จักรู้ใจกัน เสียงรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่จากไปไกลแล้ว
ร่างสูงใหญ่กำยำวัยยี่สิบหกของเบียร์ก็หันมาสบตากับน้องสาวก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ
อย่างอ่อนโยนผิดกับท่าทางเงียบขรึมภายนอก
“วันนี้เป็นไงบ้าง”
“หูยยยย ได้ความรู้เชียวค๊า”
“ขี้เห่อไปหรือเปล่า เพิ่งไปวันเดียวเองนิ”
“เหลืออีกสองวันก็จริง
แต่โซดามีแววจะได้บ่อยๆ” โซดายิ้มกว้างแต่พี่ชายมองอย่างแปลกใจ
“พี่ปกรณ์บอกว่าโซดามีแววค่ะ ให้ลองหัดเขียนเยอะๆ แล้วเอามาพี่ปกรณ์ดู”
“ฮืม”
เบียร์ยิ้มที่มุมปาก แค่เห็นน้องสาวคนเดียวร่าเริงเขาก็มีความสุขและไม่รู้สึกผิดต่อพ่อแม่ที่จากไป
สาวโซดายิ้มกว้างทั้งสองพี่น้องเดินเข้ามาในบ้านซึ่งเป็นตึกแถวเก่าๆ สามชั้น ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้าที่น้องสาวชอบไปนั่งมองท้องฟ้า
โซดาตั้งใจเข้ามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยเปิดที่กรุงเทพฯ จะหางานพิเศษทำและเรียนไปด้วย
แม้พี่ชายคนเดียวบอกว่าจะทำงานส่งเสียเธอให้ได้ปริญญา อย่างที่พ่อแม่ได้ฝากฝั่งไว้ก่อนทั้งคู่จะจากไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อห้าปีก่อนซึ่งทำให้สองพี่น้องต้องแยกกันอยู่
แต่ฐานะครอบครัวทางโน้นก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก แถมมีลูกรุ่นราวคราวเดียวกับโซดาถึงสี่คน
ส่วนตัวเบียร์เองมาอยู่กับคุณลุงญาติทางพ่อซึ่งก็ไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่นัก
ลุงฝากเขาให้ทำงานกับคนรู้จักในร้านชื่นบุรี ไต่เต้าจากเด็กเสิร์ฟมาเป็นพ่อครัวได้ด้วยใจที่มุ่งมั่นอย่าเป็นพ่อครัวจริง
ๆ .
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น