จารใจทุรยศ
บทที่ 2. เสิ่นฉางซีในวัยสิบห้า
‘อย่าได้ลืมเชียวว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้าแล้ว’
หญิงสาวมองปิ่นหยกที่อยู่ในกล่องไม้
ถ้อยคำของเจ้าของปิ่นหยกยังคงวนเวียนในความทรงจำของนางเสมอ ผ่านมาห้าปีแล้ว
นางไม่ได้พบคนผู้นั้นอีก เพียงแต่รับรู้การเคลื่อนไหวของเขาอยู่เสมอ
เสิ่นฉางซีในวัยสิบห้า
นางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาได้แค่สองวัน ยามนี้กำลังนั่งพับเก็บชุดกระโปรงสีแดงที่ใส่ในวันนั้น
ต้องขอบคุณนายหญิงใหญ่ที่เมตตาจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้เด็กกำพร้าอย่างนาง
ผ่านมาห้าปี
นางกลายเป็นเด็กกำพร้ามาห้าปีแล้ว เหตุการณ์ในวันนั้นยังคงแจ่มชัด
นางยังใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่ายกับใบหน้าอัปลักษณ์และขาที่พิการ ครอบครัวสกุลเกาเป็นสหายกับบิดาของนาง
ในวันที่หลบหนีการไล่ล่านั้น บิดาได้ทำการนัดหมายคนสกุลเกาไว้แล้ว
แต่ไม่อาจพานางไปส่งถึงทันเวลา เกาฮ่วนปิ่ง ประมุขสกุลเกาและประมุขสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม คนสกุลเกาดูแลนางอย่างดียิ่ง
บิดาของนางเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับเกาฮ่วนปิ่ง เกาฮูหยินเองรักใคร่เอ็นดูนาง
เดิมทีเคยเปรยอยู่บ้างเรื่องรับนางเป็นบุตรบุญธรรม แต่นางเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่
บิดามารดามีนางเพียงผู้เดียว นางอยากใช้แซ่ของบิดาต่อไป ด้วยความที่นางไม่มีญาติพี่น้องที่ใด
นายท่านใหญ่เกาฮ่วนปิ่งจึงรับดูแลนาง บาดแผลของนางนั้นได้นายท่านรอง เกาเทียนฉี
น้องชายของเกาฮ่วนปิ่งคอยรักษาดูแลนาง
เกาเทียนฉีมีนิสัยแปลกประหลาดไปสักหน่อย เขาชื่นชอบการปรุงยา
รอบเรือนพักของเขานั้นมีแปลงปลูกพืชสมุนไพร บางครั้งเขาจะหายตัวไปนานนับเดือนเพื่อเสาะแสวงหาสมุนไพรหายาก
เสิ่นฉางซีอยู่ภายใต้การดูแลของเกาเทียนฉีซึ่งเขารู้จักกับไต้ซือซูอยู่ก่อนแล้ว
หากแม้นางมิใช่บุตรสาวของเสิ่นจางเหว่ย
เกาเทียนฉีย่อมรับรองดูแลนางตามคำฝากฝังของไต้ซือซู อาการบาดเจ็บของนางเรียกได้ว่าสาหัสยิ่ง เท้าข้างหนึ่งก้าวข้ามประตูปรโลกแล้ว
แต่ด้วยการรักษายื้อชีวิตไว้ทำให้นางตื่นฟื้นอีกครั้ง ทว่า ‘ฝ่ามืออัคคี’
นั้นทิ้งบาดแผลที่กลายเป็นแผลเป็น
บริเวณหน้าผากของหน้ามีรอยแผลเป็นที่ยามนี้เป็นสีชมพูอ่อนจางแล้ว
ชายผู้นั้นใช้เท้ากระทืบท้องของนางก่อนจะกระทืบซ้ำอีกครั้งที่ต้นขา
กระดูกต้นขาแตก นางใช้เวลาอยู่บนเตียงเกือบครึ่งปีกว่าจะลงมาเดินได้
แต่ทำให้นางไม่สามารถเดินได้อย่างปกติ
แผลเป็นอัปลักษณ์ตลอดจนการเดินที่ต้องลากเท้าขวานั้นยังไม่เลวร้ายเท่าการบาดเจ็บภายในที่ไต้ซือซูได้เตือนไว้แล้วว่า
นางบาดเจ็บที่ท้องอย่างรุนแรงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ และ‘ฝ่ามืออัคคี’
ทำให้นางมีอาการปวดศีรษะอย่างหนักหน่วง
นางไม่สามารถเกล้ามวยผมได้
การรวบผมให้เรียบตึงทำให้นางปวดศีรษะจนหลั่งน้ำตา ยามหวีผมต้องสางผมอย่างเบามือ
นางจึงทำได้เพียงแค่รวบผมด้วยแถบผ้าเส้นเล็ก หรือเชือกสวยๆ ที่เกาฮูหยินมอบให้ และด้วยเหตุนี้นางจึงไม่สามารถประดับเครื่องประดับใดบนศีรษะได้
แต่กระนั้น นางปรารถนาจะเข้าพิธีปักปิ่น
ซึ่งนายท่านและฮูหยินเมตตาจัดการให้นางเสร็จสรรพเรียบร้อย
เรียกได้ว่าไม่ด้อยกว่าหญิงสาวคนใดในหมู่บ้าน
“น้องฉางซี”
เสียงเรียกเกรงใจอยู่หน้าห้องทำให้เสิ่นฉางซีงะงักมือ
นางวางชุดกระโปรงสีแดงสดสวยไว้บนเตียง เดินลากขาข้างขวามาถึงหน้าประตู เจ้าของเสียงยืนรอด้วยท่าทีกระวนกระวาย
เด็กสาวส่งยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง
“คุณชายกลับมาเมื่อไหร่เจ้าคะ”
คำทักทายของนางมิได้สร้างรอยยิ้มให้เการุ่ยเฉียงนัก มุมปากที่กำลังยกยิ้มกลับกลายเป็นบึ้งตึง
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว
เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าคุณชายอีก” ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดก้มหน้าลงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของเด็กสาวที่ยังเผยรอยยิ้มสดใสไม่มีแววหวาดกลัวเขาเลยสักนิด
แม้ปากจะเรียกเขาว่าคุณชายก็ตาม แต่นางไร้กิริยาของหญิงรับใช้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
“แต่ว่า...”
นางอยู่อย่างเจียมตัวมาตลอด แม้ทุกคนรักใคร่นางมากแต่นางไม่ลืมฐานะของตนเอง และไม่ลืมบุญคุณที่ช่วยเหลือทั้งรักษานางด้วยยาราคาแพงและยังให้ที่อยู่อาศัยอาหารสามมื้อในแต่ละวัน
ร่างกายนางไม่แข็งแรง ฝึกยุทธ์เช่นเด็กคนอื่นไม่ได้
สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงงานจิปาถะทั่วไปเช่นบ่าวไพร่ควรทำ
“ไม่มีแต่
หากข้ายังได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายอีก ข้าจะโกรธเจ้าแล้วจริงๆ” เขาขึงตาใส่อย่างดุดัน
‘อย่างนี้ไม่เรียกว่าโกรธแล้วอยู่หรอกหรือ’
เสิ่นฉางซีผ่านเรื่องร้ายมามาก
เผชิญการสูญเสียและความเจ็บปวดทั้งกายใจ
ได้คำสอนสั่งของไต้ซือซูและการอบรมของนายท่านรอง
นางจึงค่อนข้างมีความคิดอ่านเกินวัย
นางมีความสุขุมใจเย็นพอๆ กับชอบหยอกล้อผู้อื่น ทว่าหลายปีที่ผ่านมา
ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นน่ากลัวนี้ทำให้เด็กในวัยเดียวกันไม่กล้าเข้าใกล้ เว้นแต่บุตรชายนายท่านใหญ่นามเการุ่ยเฉียง
ที่อายุมากกว่านางสองปีให้ความใกล้ชิดสนิทสนมและออกหน้าปกป้องนางเสมอ
นางผู้ถูกมารดาและบิดาอบรมเลี้ยงดูเติบโตมาอย่างสมถะเรียบง่าย
ไม่ว่าอย่างไรก็มองว่าสกุลเกาเป็นผู้มีพระคุณของนาง
มิอาจตีตนเสมอเท่าเทียมได้
สิ่งใดหยิบจับทำงานเพื่อทดแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือและยังให้ที่อยู่อาศัยพร้อมเสื้อผ้าและอาหารการกิน
นางจึงทำทั้งสิ้น
“ข้าออกไปทำธุระนอกเมืองให้บิดา
คิดว่าจะกลับมาทันพิธีปักปิ่นของเจ้าแท้ๆ แต่กลับดินถล่มจึงเดินทางล่าช้า” เการุ่ยเฉียงคร้านจะใส่ใจท่าทีของนางอีก
พูดพลางหยิบกล่องขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้นาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าปักปิ่นปักผมมิได้
แต่ข้าอยากให้เจ้า”
เขาผลักกล่องไม้เล็กใส่มือนาง สายตาของเขาเป็นประกายมุ่งหวังให้นางเปิดออก
เสิ่นฉางซีไม่อาจขัดใจได้จึงเปิดกล่องไม้ออก พบปิ่นหยกสีเขียวงดงามสลักลายดอกเหมย
ข้างกันมีหวีหยกวางคู่กัน นางเบิกตากว้างไม่คิดว่าเการุ่ยเฉียงจะให้ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้
“คุณชาย
เอ่อ พี่รุ่ยเฉียง ของล้ำค่าเช่นนี้ ข้ารับไว้มิได้หรอกเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วยกมือขึ้นกอดอกไม่ยอมรับของที่นางยื่นส่งกลับมาให้เขา
“ข้าเป็นพี่ชายเจ้า
มอบของขวัญให้น้องสาวจะเป็นอะไรไป หึ!”
“เช่นนั้น...ข้าขอรับไว้” แม้นางจะประดับปักปิ่นไม่ได้
แต่มิได้หมายความว่าจะไม่ชอบสิ่งสวยงามเช่นนี้ “ขอบคุณมาก”
น้ำเสียงและรอยยิ้มที่ปรากฏความพึงพอใจของนางทำให้เการุ่ยเฉียงมองอย่างเหม่อลอย
ห้าปีที่ผ่านมา เขาเห็นเด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆ เติบโตเป็นหญิงสาว
แม้นางมีแผลเป็นบนหน้าผากและท่าเดินที่ผิดปกติชัดเจน แต่นางเป็นคนจิตใจอ่อนโยน ดวงตาคู่นี้งดงามนัก
เมื่ออยู่ใกล้ทำให้รู้สึกใจสงบ
“พี่รุ่ยเฉียงมาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้คงยังไม่ได้กินข้าวเช้ากระมัง”
เสิ่นฉางซีเอ่ยถามไม่รอคำตอบ
นางหมุนตัวนำกล่องของขวัญเข้ามาเก็บในห้องแล้วเดินลากขาออกมาอีกครั้ง “มาเถิด
เข้าไปในครัวกัน”
ใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนหวานที่ชวนให้คนใจลอย
เสิ่นฉางซีไม่เห็นว่าชายหนุ่มเดินตามมา
นางจึงหยุดเดินแล้วเอี้ยวตัวหันไปส่งเสียงเรียกเขาอีกครั้ง เการุ่ยเฉียงส่งยิ้มเก้อเขินแล้วรีบก้าวยาวๆ
เดินเคียงข้างนาง เมื่ออยู่ใกล้กันเช่นนี้
เขารู้สึกได้ว่านางตัวเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมนัก ศีรษะของนางแค่ไหล่ของเขาเท่านั้นเอง
ตั้งแต่วันแรกที่บิดารับนางไว้ในสกุลเกา
แรกทีเดียวเขาสงสารเวทนาเด็กหญิงวัยสิบขวบผู้นี้เหลือเกิน บาดแผลของนางน่ากลัวนัก
ยืนอยู่ห่างหลายก้าวยังได้กลิ่นเนื้อไหม้จากตัวนาง แม้แต่เขาที่เป็นผู้ชายยังรู้สึกหวาดกลัว
นางต้องปิดดวงตาอยู่ครึ่งเดือน มารดาจึงให้แม่บ้านมาช่วยดูแลนางจนกระทั่งเด็กน้อยเปิดผ้าปิดตาแล้ว
ดวงตาคู่นั้นงดงามกระจ่างใสราวกับแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ และเพราะนางถูก ‘ฝ่ามืออัคคี’ ทำร้าย
เส้นผมของนางร่วงเป็นกระจุก มารดาเล็มปลายผมให้นาง
ตัดส่วนที่ไหม้ทิ้งไปจนผมของนางยาวประบ่า หน้าตานางดูประหลาดนัก
แต่กระนั้นเมื่อเขามองไปทางนาง นางส่งยิ้มให้เสมอราวกับไม่รับรู้ความเจ็บปวดใดๆ
บนร่างกาย
แต่มีอยู่ครั้งที่เขาบังเอิญไปพบท่านอาเกาเทียนฉีกำลังรักษาบาดแผลบนศีรษะให้นาง
เด็กหญิงกัดผ้าในปากแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมา
เขาอายุมากกว่านางแค่สองปีแต่กลับรู้สึกว่านางเข้มแข็งมากกว่าเขานัก
ใช้เวลาครึ่งปีนางจึงลุกจากเตียงลงเดินได้
แต่การเดินนั้นก็ยังต้องลากขาข้างที่เจ็บ พยายามไม่ทิ้งน้ำหนักตัวลงไป
สกุลเกาชุบเลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กยากจนที่พอจะมีแววฝึกฝนวรยุทธ์ได้ไว้หลายสิบคน
เขาเคยเห็นเด็กบางคนที่ล้อเลียนและรังแกเสิ่นฉางซี
นางคือสิ่งเดียวที่เขาอยากปกป้อง
แต่ความรักความห่วงใยที่มีให้เด็กหญิงผู้นั้นมากกว่าน้องชายแท้ๆ เสียอีก
เสิ่นฉางซีเป็นเด็กกำพร้าที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นที่บิดารับอุปการะ
นางเป็นบุตรสาวของสหายรัก สภาพร่างกายที่บาดเจ็บเรื้อรังไม่อาจฝึกฝนวรยุทธ์ได้
มารดาของเขารักใคร่เอ็นดูเด็กหญิงตัวน้อยนักเพราะอยากมีบุตรสาวสักคน ว่ากันตามจริง
นางสามารถใช้ชีวิตประหนึ่งคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ได้ แต่นางมิได้อยู่เฉย นางชอบอยู่ในโรงครัว เขายังจำภาพที่นางปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้เพื่อทำอาหาร
นางชอบอยู่กับท่านอารองศึกษาเรื่องสมุนไพร อยู่กับมารดาหัดงานเย็บปัก
และบางครั้งก็ฝึกเรียนเขียนอ่านกับเขา
เการุ่ยเฉียงเดินเคียงข้างเสิ่นฉางซีมาถึงโรงครัว
เพียงใบหน้าของเด็กสาวโผล่เข้ามา หลี่เจี๋ย พ่อครัวใหญ่ก็เรียกใช้งานทันที
แต่พอเงยหน้าขึ้นจากก้อนแป้งที่กำลังนวดอยู่ก็รีบหุบปากทันที
“คุณชายเกา”
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเการุ่ยเฉียงเอ็นดูแม่นางน้อยผู้นี้มากเพียงใด
หากเผลอล่วงเกินนางให้เขาเห็นเข้า คงไม่ได้อยู่ดีในสกุลเกาเป็นแน่
“พ่อครัวใหญ่เตรียมของว่างอยู่หรือ?
ให้ซีเอ๋อร์ช่วยนะเจ้าคะ” นางเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน
หวังปล้นเอาวิชาความรู้การปรุงอาหารอันแสนอร่อยของพ่อครัวหลี่เจี๋ย
เการุ่ยเฉียงได้แต่ส่ายหน้าไปมา
เขาหวังใจปกป้องดูแลเสิ่นฉางซีไปทั้งชีวิต
ไม่คิดให้นางไปใช้ชีวิตข้างนอกรั้วสกุลเกา
แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นความตั้งใจจริงของเขา
นางพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่างเพียงเพื่อจะได้ใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด
เขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะรั้งนางผู้มีรอยยิ้มดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิไว้ข้างกายตลอดทั้งชีวิต
...ทั้งชีวิต.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น