บ่วงรักเทพบุตรมาเฟีย (ซีรีย์ชุดดวงใจมาเฟีย)
บทที่ 1.
หญิงสาวตรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าชุดนางรำแบบไทยภาคกลาง
ใบหน้าสวยหวานแต่งหน้าเข้มจัดจ้านจนเจ้าของใบหน้ายังได้แต่แอบถอนหายใจเฮือกใหญ่
“โอเคไหมริน ไปคล้องพวงมาลัยให้แขกเถอะจ๊ะ”
“ค่ะพี่แป๋ม”
กีณริน ปรีดานันท์ หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดฝืนยิ้มเนืองๆ
ออกมาจากห้องแต่งตัว รับพวงมาลัยดอกมะลิหอมกรุ่นไว้ในมือแล้วเดินตามเพื่อนๆ
ออกมารอคล้องพวงมาลัยให้ลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาในร้านอาหารแห่งนี้ หญิงสาวทำงานพิเศษเป็นนางรำตั้งแต่เรียนปีสอง
ตั้งแต่หญิงสาวยังเป็นเด็กเล็กๆ ก็ได้รับการฝึกสอนให้ร่ายรำแบบต่างๆ
แม้ว่าจะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้โดยเฉพาะแรกเริ่มนั้นแค่เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ตามที่ครูประถมริเริ่ม
พอมีงานโรงเรียนก็ได้แสดงสักครั้งหนึ่ง
แต่หลังจากที่พ่อและแม่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์กีณรินก็ย้ายมาอยู่กับ
‘ลุงพงษ์’ ซึงเป็นพ่อหม้ายลูกติด
มีลูกสาววัยเดียวกับเธอชื่อ ‘อรพิม’ หรือ ‘แอนนี่’ เธอไม่ได้ฝึกการรำอีกจนกระทั้งเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ
เธอตั้งใจจะหางานพิเศษที่ไม่กระทบเวลาเรียนและบังเอิญอาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำให้เธอมาแสดงการรำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและนั่นเองทำให้เธอได้กลับมาฝึกรำอีกครั้ง
คงอีกไม่นานนักหรอก กีณรินบอกตัวเองในใจอีกไม่นานเธอคงไม่ต้องมาทำงานแบบนี้อีกแล้ว
เธอไม่ได้ดูถูกดูแคลนงานที่ทำอยู่ เพียงแต่ตอนนี้เธอเรียนจบแล้วและอยู่ระหว่างตระเวนสมัครงานตามที่ต่างๆ
ถ้าเธอได้งานประจำทำเมื่อไหร่คงได้โบกมือลาวงการนี้เสียที
“สาวๆ ไปเตรียมตัวหลังเวทีได้แล้วจ๊ะ”
เสียงพี่เลี้ยงที่ดูแลคิวการแสดงเอ่ยบอกบรรดานางรำโปรยยิ้มหวานตามหน้าที่ก่อนจะหมุนตัวเดินกับมาด้านหลังร้านซึ่งเป็นห้องแต่งตัวของนักแสดง
แต่ขณะที่กีณรินหมุนตัวกลับแขนเรียวเล็กกลับถูกดึงไว้ก่อนเมื่อเธอหันกลับไปจึงเห็นว่าเป็น…
“นัทธี”
“รินทำหน้าเหมือนไม่อยากเห็นผม” ‘นัทธี’ เพื่อนร่วมรุ่นของกีณรินและเป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าของร้านอาหารอีกด้วย
“เปล่าจ๊ะ” กีณรินทำหน้าเหนื่อยๆ แล้วฝืนยิ้ม “รินต้องไปเตรียมตัวขึ้นเวที”
“เมื่อไหร่รินจะเลิกทำงานนี่นะ
นัทไม่ชอบให้ใครต่อใครมองรินของนัทแบบนี้” ชายหนุ่มปรายตาไปยังลูกค้าชายที่เมามายและมองเหล่าบรรดานางรำอย่างหื่นกระหาย
“รินห้ามสายตาใครไม่ได้หรอกค่ะ” เธอกอดอกและยืดหลังตรง “มีแต่เราเท่านั้นแหละที่รู้ดีว่าเราไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด”
“นัทเป็นห่วงรินน่ะ” เขาทำเสียงอ่อนเมื่อรู้ว่าหญิงสาวที่เขารักนั้นไม่พอใจ
“รินรู้ แต่รินก็ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง”
“ถ้าริน”
“รินจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง
นัทไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” กีณรินปลดมือที่จับแท่นแขนของตนเองออกแล้วเดินตามนางรำคนอื่นๆ
ไปหลังร้าน
“น่าอิจฉาจังมีหนุ่มๆ
มาตามจีบ” เสียงเพื่อนสาวแซวกันสนุกปาก
แต่กีณรินส่ายหน้าระอาใจ
“รินไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นด้วยนี่”
“ก็คิดสักหน่อยจะเป็นไร
นี่ก็เรียนจบแล้วจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักคนก็ไม่เห็นแปลก”
“รินไม่อยากคิดเรื่องนั้น
รินอยากหางานทำเลี้ยงตัวเองตอบแทนพระคุณของลุงก่อน”
“จ้า”
“เอ้า พอแล้วสาวๆ ได้เวลาทำงานแล้วจ๊ะ”
บรรดานางรำหยุดล้อกีณรินแล้วต่างดูแลเครื่องแต่งกายของตัวเองอีกครั้งหลายคนไหว้ครูเพื่อแสดงความเคารพตามธรรมเนียมแล้วจึงขึ้นแสดงตามคิวของตัวเอง
วันนี้กีณรินแสดงการรำอวยพรที่ตนเองเตรียมมา เธอยกมือไหว้ครูอีกครั้งก่อนจะหันไปพยักหน้ากับพี่เลี้ยงที่ค่อยดูแลคิวการแสดงอีกที
“โอเค รินพร้อมแล้วค่ะ”
ชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้มก้าวเข้าในร้านอาหารริมน้ำด้วยสีหน้าเรียบเฉยในขณะที่ผู้ออกมาต้อนรับแสดงอาการนอบน้อมทั้งที่อายุมากกว่าหลายปีนัก
เขาปรายตาไปบนเวทีซึ่งมีการแสดงร่ายรำอยู่อย่างไม่สนใจนัก
อากาศประเทศไทยแม้จะค่อนดึกแล้วแต่เขายังรู้สึกร้อนอยู่จนต้องถอดเสื้อสูทตัวนอกออก
“เอ่อ คุณชายรับเครื่องดื่มหรืออาหารดีครับ”
ชายร่างอ้วนเตี้ยเหงื่อแตกพลั่กๆ
แต่ไม่ใช่เพราะอากาศร้อนแต่เพราะรัศมีอำมหิตจากชายหนุ่มมาดเหี้ยมต่างหาก “คุ...คุณ เอ่อ...ท่านฟังภาษาไทยออกไหมครับคุณสุรัต”
“ได้บ้างครับเสี่ย” สุรัตผู้ติดตามเอ่ยตอบแทนผู้เป็นนาย
เขาหันไปถามชายหนุ่มที่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยภาษาอังกฤษและเมื่อได้คำตอบจึงหันไปสั่งกับชายร่างอ้วนที่ยืนเหงื่อแตกอยู่ใกล้ๆ
ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากตัวเองที่กำลังจะหาวออกมา
ช่างแสนน่าเบื่อนัก ยังไม่ได้ทำอะไรเลยก็ทำท่าหวาดกลัวเสียเวอร์เชียว คนที่นี่จะทำให้เขาเบื่อกว่าที่คิดเสียอีกแถมยังไม่ได้ออกแรงอะไรเลยแล้วแบบนี้จะเรียกว่า
‘พิสูจน์’ตัวเองได้ยังไงกัน
ราฟาเอล ซิวีลิอาโน่ออกจะแปลกใจนิดๆ ที่ถูกเชิญมารับประทานอาหารค่ำในร้านอาหารแบบนี้
แม้ว่าจะเป็นร้านอาหารกลางแจ้งขนาดใหญ่กินเนื้อที่กว่าสองไร่แต่บรรยากาศแบบครอบครัวและเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทำให้เขานึกขำๆ
นี่คงกลัวว่าเขาจะยกปืนจ่อขมับมันง่ายๆ ละมั้งถึงได้พาเขามาในร้านอาหารแบบครอบครัวนี่
ชายหนุ่มฟังภาษาไทยออกและพูดได้เนื่องจากมารดาค่อยฝึกสอนมาอย่างดีแม้จะไม่ได้เรียนในโรงเรียนก็ตาม แต่เขาก็อยากดูฝีมือของ ‘สุรัต’ ผู้ช่วยและผู้ติดตามที่บิดาส่งมาให้เขาหากสุรัตแสร้งแปลผิดความหมายเขาก็พร้อมที่จะจัดการได้ง่ายๆ
เช่นกัน ชีวิตอย่างเขาไม่เคย ‘ไว้ใจ’ ใคร
จังหวะดนตรีไม่คุ้นหูเรียกสายตาเขาให้จ้องมองเรือนร่างบอบบางอ่อนช้อยที่ร่ายรำอยู่บนเวทีซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เรียกสติไม่ให้หลับใหลของเขาได้
เขาไม่รู้จักการแสดงบนเวทีนักแต่การเคลื่อนไหวพลิ้วไหวเข้ากับจังหวะดนตรีนั้นงดงามไม่น้อย
เขาพยายามเพ่งมองนางรำที่ร่ายรำบนเวที นึกเสียดายที่โครงหน้าสวยๆ
ฉาบเครื่องสำอางเกินความจำเป็น แต่เรียวปากสวยและดวงตากลมโตดึงดูดผู้คนได้ไม่ยาก แม้ใบหน้าจะแต้มยิ้มหวานแต่เขาดูออกว่ามันไม่ใช่การยิ้มยั่วแบบเชิญชวน
เขาเคยชินกับการมีผู้หญิงมาทอดกายมากมายและสารพัดรูปแบบเพื่อแลกกับเงินทองและอำนาจที่จะได้อยู่เคียงข้างเขา
แต่ผู้หญิงแบบนั้นไม่เคยอยู่ในสมองเขาเลยสักนิด
อะไรที่ได้มาง่ายเกินไปก็ไร้ค่า
เมื่อดนตรีสิ้นสุดการร่ายรำก็ยุติตามไปด้วย กีณรินก้าวลงจากเวทีซึ่งจัดไว้ตรงกลางของร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการหลังจากการแสดงที่จัดเตรียมไว้สร้างความบันเทิงและความประทับใจของลูกค้าจบลง
เหล่าบรรดานางรำต้องไปถ่ายรูปกับแขกที่มาในร้านอาหารเป็นการปิดท้ายและนั่นแสดงว่างานของเธอเสร็จสิ้นแล้ว.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น