ตอนที่
1
ปลายเส้นผมนุ่มสลวยที่ถูกรวบเป็นหางม้าเหนือท้ายทอยแกว่งไปมา
แม้เจ้าของจะซ่อนมันในหมวกแก๊ปใบสวย เด็กสาวรูปรางปราดเปรียว กำลังวิ่งกระหืดกระหอบ
เข้ามาที่ตึก R&M บริษัทที่ผลิตนักร้องชื่อดังประทับฟ้าเมืองไทยหลายสิบคน
และในขณะเดียวกันก็เปิดเป็นบริษัท ผลิตรายการโทรทัศน์ โรงเรียนสอนดนตรี และ
สื่อสิ่งพิมพ์
มีนิตยสารหัวนอกอยู่ถึงสองเล่ม
และเปิดเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
โซดา สาวน้อยวัยสิบเจ็ดรีบผลักบานประตูกระจกสีชาของบริษัทอย่างรีบเร่ง
ท่าทางรีบร้อนของเธอทำให้คนบริเวณหันมามองสาวน้อยร่างเพรียวบางที่สูงประมาณ 167 ซม.
ใบหน้าเนียนสวยเปื้อนเหงื่อและดวงตากลมโตใสซื่อสะกดสายตาของที่เผลอมองมายังเธอ
“ขอโทษเด๋อคะ ห้องอบรมเขียนนิยายไปทางไหนคะ”
สำเนียงสาวอีสานทำให้เกิดเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น โซดายกมือปิดปากอย่าเพิ่งนึกได้
ประชาสัมพันธ์คนสวยแอบเช็ด
น้ำตาที่เล็ดเพราะสำเนียงไม่เข้ากับหน้าใสๆ ของเธอ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ลิฟต์ไม่ไกลนัก
“มาอบรม ‘เขียนง่ายๆ
กลายเป็นเล่มๆ’ ใช่ไหมคะ
เชิญที่ชั้นสิบเอ็ดเลยค่ะ”
“ขอบคุณหลาย ๆ ค๊า”
โซดาอยากตบปากตัวเองนัก
แต่เกรงว่าถ้ายิ่งยืนอยู่ตรงนั้นจะยิ่งทำอะไรน่าอายเข้าไปใหญ่
เท้าที่สวยรองเท้าผ้าใบคู่เก่ารีบวิ่งไปที่ลิฟต์ทันที แล้วนิ้วเรียวก็กดหมายเลขชั้นที่ต้องการไป
วันนี้เป็นวันแรกของการมาอบรม ‘เขียนง่ายๆ
กลายเป็นเล่มๆ’
ที่โซดาเขียนความเรียงส่งประกวดในนิตยสารฉบับหนึ่ง ซึ่งรางวัลของมันก็คือ
ได้เป็นหนึ่งในสิบหกคนที่เข้ามาอบรมเขียนหนังสือที่บริษัท R&M แห่งนี้
โดยมีวิทยากร ชื่อดังคือ ‘ดุจตะวัน’
หรือ ‘ปกรณ์’
นักเขียนสุดปลื้มของโซดา เธอหลงรักตัวหนังสือที่ดุจตะวันเขียน และเขาเป็นแรงบันดาลใจของเธอที่ทำให้เธอ
เด็กสาวจากร้อยเอ็ดอยากเป็นนักเขียนชื่อดังกะเค้าบ้าง
“เออ คิวถ่ายแบบเลื่อนไปได้ไหม
เหนื่อย เพลีย เข้าใจไหม!” เสียงดังจากคนข้าง
ๆ ทำให้โซดาหันไปมองอย่างเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้มีเธอคนเดียวในลิฟต์
“เป็นผู้จัดการยังไง!
เลื่อนคิวแค่นี้ทำไม่ได้หรือไง ไม่ไปก็คือไม่ไปไง”
เสียงที่ดังอยู่ข้างๆโซดาอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงก้าวครึ่ง แม้ว่าร่างสูงโปร่งจะคุยโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดอยู่
แต่เสียงที่ตะคอกราวกับจะตะโกนให้คนที่อยู่อีกสองช่วงตึกได้ยินด้วย ทันทีที่ผู้โดยลิฟต์คนเดียวกับเธอพับมือถือเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ
โซดาก็จำได้ทันทีว่าเคยหน้าตาแบบในโทรทัศน์ และหน้านิตยสารหลายฉบับ
“พี่ปลายศร” โซดาพึมพำออกมาเบาๆ
แต่มันคงดังพอที่จะทำให้ร่างสูงโปร่งหันมามองก่อนที่จะถอดแว่นกันแดดสุดเท่ออกแหนบที่คอเสื้อ
“เฮ้อ! แม้แต่อยู่ในลิฟต์ยังไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวเลยหรือเนี้ย!” นักร้องหนุ่มสุดฮอตส่ายหน้าระอาใจ
เขาหยิบปากกาเมจิกคู่ใจ ขยับเท้าเข้าไปใกล้ร่างเพรียวบางของเด็กสาวที่ยืนนิ่งตะลึงนะจังงังอยู่กับที่
ก่อนที่จะตวัดข้อมือเซ็นชื่อตัวเองลงบนปีกหมวกที่โซดาสวมอยู่
ปิ๊ง!
ลิฟต์ดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดออก นักร้องหนุ่มยิ้มมาดนายแบบก่อนเหลือบมองไปที่แผงหมายเลขข้างประตู
“อ้าว! ชั้นเดียวกันเหรอ มาอบรมใช่ไหม พยายามหน่อยนะ แต่แหม!
ปลื้มพี่มากแค่ไหนก็ไม่ต้องใช้วิธีนี้ก็ได้” เจ้าของร่างสูงโปร่งเอ่ยต่อแบบไม่สนใจคนที่อ้าปากค้างอยู่
แต่ที่เรียกสติของสาวน้อยได้คำว่า “อบรม” ทำให้ร่างเพรียวบางรีบก้าวออกมาจากลิฟต์ทันที
โซดามองตามร่างสูงปร่งที่เดินนำหน้าเธอออกมาก่อน พอนึกขึ้นได้ก็ถอดหมวกแก็ปออกจ้องมองลายเซ็นยึกยือบนหมวกใบเก่งของเธอ
“ฮ่วย!” โซดาเผลอบ่นออกมาอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ “ใครเค้าอยากได้ลายเซ็นอ่ะ
คนอะไรหลงตัวเองชะมัด!!!”
โซดายัดหมวกใส่เป้ที่คล้องไหล่อยู่
จะขว้างทิ้งก็เสียดายของ พลางเดินไปตามแผ่นป้ายที่เขียนบอกทางไปห้องอบรมเขียน‘เขียนง่าย
ๆ กลายเป็นเล่ม ๆ’
เธอรู้อยู่หรอกวิทยากรในครั้งนี้มี “ปลายศร” ดาราหนุ่มยอดฮิตที่เพิ่งทำสถิติพ๊อกเก็ตบุ๊คส์ขายดีที่สุด
ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงถึงสองพันเล่ม เมื่องานมหกรรมหนังสือฯ ที่ผ่านมา
แต่...เปล่าเลย... โซดาอยากเจอพี่ปกรณ์
เจ้าของนามปากกา “ดุจตะวัน” ฉายาเจ้าชายโรแมนติกที่เขียนนิยายได้หวานซึ้ง
ต่างหากเล่า!
ทันทีที่โซดาเปิดประตูห้องเข้าไป เธอกลายเป็นจุดสนใจในวินาทีนั้นทันที
ประเมินด้วยสายตาแล้ว เธอน่าจะอายุน้อยที่สุดในบรรดาสิบหกคนที่ได้มาอบรมฟรีในครั้งนี้
ใช่ ! ถ้ามันไม่ “ฟรี”
เธอก็ไม่มีปัญญาได้มายืนอยู่ในนี้หรอก เธอเคยเห็นโบชัวร์เวิร์คชอปของที่นี้แค่สามวัน
ค่าเรียนแพงลิบลิ่ว เด็กกำพร้าอย่างเธอไม่มีปัญญามาเรียนแน่ ๆ
“มาครบกันแล้วใช่ไหมครับ”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของนักสุดปลื้มของโซดานามดุจตะวัน
ร่างสูงโปร่ง ดวงตาอบอุ่นกับ ผมดำขลับยาวสลวยอย่างที่ผู้หญิงแท้ๆอย่างเธอยังอาย
โซดา
สาวน้อยแสนห้าวในสายตาคนรอบข้างแต่กลับมีความฝันตรงข้ามกับลักษณะนิสัยภายนอก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ
“โชค” หรือ
“ฝีมือ”
ที่ทำให้ได้เข้ามาอบรมการเขียนที่นี่
บริษัทใหญ่โตอย่างนี้เธอได้แต่ฝันกลางวันเท่านั้นในความเป็นจริงแทบไม่เคยย่างกรายเข้ามาใกล้
แต่ละคนที่เข้ามาอบรมดูเป็นคุณหนู แต่งตัวดี แม้จะเอ่ยปากชวนเธอคุยบ้าง
แต่ก็ทำเธอรู้โดยทันทีว่า มันเป็นไปตามมารยาท
กว่าจะหมดไปหนึ่งวัน เด็กสาวก็แทบหมดแรงเพราะไม่คุ้นกับสังคมใหม่แบบนี้
ทั้งๆ ที่ย้ายมาอยู่กรุงเทพกับ “เบียร์”
พี่ชายแท้เลือดสีเดียวกันได้เดือนกว่าแล้ว แต่เหมือนเธอยังปรับตัวไม่ได้ ครั้งที่พ่อกับแม่จากไปเพราะอุบัติเหตุ
เธอยังเด็กจำอะไรไมได้มาก แต่เพราะมีกันแค่สองคนพี่น้อง
พี่ชายเธอมาทำงานกับลุงที่เป็นพ่อครัวอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ส่วนเธอก็ไปอยู่กับป้าญาติทางฝั่งแม่ที่ขอนแก่น
แม้จะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ความรู้สึกที่เป็นส่วนเกินของบ้านมันก็ยังมีอยู่ กี่ครั้งที่ร้องไห้คิดถึงพี่ชาย
เธอได้แต่พยายามฝืนตัวเองให้เข้มแข็ง
เพื่อที่จบม.ปลายจะได้มาอยู่กับพี่ชายตามสัญญา
และเบียร์ก็ทำตามสัญญาจริงๆ เมื่อเธอสอบจบม.ปลาย เขาก็มารับเธอถึงบ้านป้าตามสัญญา
จะได้อยู่กับพี่ชายในบ้านหลังเดิมที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติชิ้นเดียว
แต่ความเป็นเมืองใหญ่ที่ทำให้เธอเหงาจนบอกไม่ถูก
คงไม่นานหรอกนะ ที่เธอจะคุ้นเคยชินกับความรู้สึกนี้
แล้วจู่ๆ รอยยิ้มก็จางไป
เมื่อร่างบอบบางเดินผ่านกระจกเงาของตึก
เด็กสาวจ้องมองร่างที่สูงหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดเซนต์
เสื้อผ้าที่สวมใส่ที่เป็นเพียงเสื้อยืดพอดีตัว
กางเกงยีนขาสามส่วนพร้อมรองเท้าผ้าใบเซอร์ๆ สะพายเป้สีดำคู่ใจที่มีสมุดบันทึกขนาดเหมาะมืออยู่เสมอ
‘เฮ้อ!
ทั้งเซอร์ ทั้งโทรมขนาดนี้ อย่าว่าแต่พี่ปกรณ์เลย
ขนาดวินมอเตอร์ไซด์ยังไม่แล!
โซดาถอนหายใจหนักๆ มองภาพนักเขียนในดวงใจของเธอ
ผ่านผนังกระจกที่กั้นอยู่ โซดาดึงหมวกแก๊ปใบเท่ที่ยัดใส่เป้ขึ้นมาสวม แต่มือก็ชะงักเพราะเห็นลายเซ็นไม่พึ่งประสงค์บนหมวก
‘เอาไงดีหว่า’
โซดาก้มหน้าก้มตา แอบใช้น้ำลายป้ายๆ ถูๆ หวังจะให้ลายเซ็นกระเด็นไปจากหมวก
จนไม่ทันดูว่าประตูกระจกก็ถูกออกมามาอย่างแรง
“อุ๊ย!
ขอโทษค่ะ”
“คะ”.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น