บุรุษผู้หนึ่งอายุเพียงสิบเก้าปีก็ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพแล้ว
ชาวบ้านต่างพากันหลีกทางขบวนทหารกล้าที่กำลังผ่านถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่วังหลวง
บุรุษในชุดศึกสีดำขรึมขลังบนอาชาศึกงามสง่าสะกดทุกสายตาให้หยุดมองเพียงเขา
ใบหน้านั้นหล่อเหลา สุขุมและเยือกเย็นประหนึ่งเทพเซียน
ดวงตาคมคู่นั้นเป็นสีนิลดุจเดียวกับบ่อน้ำลึกไร้รอยไหวกระเพื่อม
เขาเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลงใหลคลั่งไคล้หวังจะได้นั่งตำแหน่งฮูหยิน
ทว่าเจ้าของดวงตาคมดุจเหยี่ยวคู่นั้นหาได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ไม่
แต่ไหนแต่ไร สมองของเขาคิดเพียงเรื่องการรบ
ตั้งแต่กลับเข้าตระกูล เขาก็เข้าสู่การเป็นทหาร
และเป็นทหารชั้นผู้น้อยที่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงเขาเป็นใคร
ยามนั้นเขาไม่ได้โกรธเคืองที่บิดาทำเช่นนั้น คล้ายยอมรับโชคชะตา
คล้ายขัดขืนอยู่ในที แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนมั่นใจในตัวเองยิ่ง ใช้เวลาห้าปีสร้างผลงาน
ในค่ายทหาร ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือบุตรชายคนโตของตระกูลสวินผู้เป็นนักรบมาหลายชั่วอายุคน
สวินเย่ว์ ได้กลับจวนอย่างสง่าผ่าเผย
ผิดกับทุกครั้งที่เขามักลอบเข้าไปพบบิดามารดาโดยที่ไม่มีผู้อื่นรู้
การกลับเข้าจวนครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการประกาศตัวตนที่แท้จริงของเขา
หญิงสาวประคองตะกร้าที่คล้องแขนไว้ด้วยความระมัดระวังมิให้ถูกผู้คนเบียด
นางระวังของในตะกร้ามากกว่าตนเองเสียอีก ผู้คนมากมายโห่ร้องต้อนรับแม่ทัพหนุ่มบนหลังอาชาที่กำลังเคลื่อนผ่านพวกเขาไป
ร่างเล็กถูกเบียดไปมาจนผ้าคลุมศีรษะเลื่อนหล่น นางแหงนหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของบุรุษผู้นั้นที่สายตายังคงมองตรงไปด้านหน้าไม่เหลียวมองรอบข้างเลยสักนิด
เสิ่นฉางซีเผลอยิ้มบางเบา มองจนเห็นแผ่นหลังของเขาผ่านไปลับตาแล้วจึงยกมือจับผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดอีกครั้ง
แล้วค่อยๆ แทรกตัวออกจากฝูงชนเดินลัดเลาะในถนนเส้นรองมาจนมาถึงตรอกด้านหลังจวนสกุลสวิน
บ่าวชายที่เฝ้าประตูด้านหลังเห็นหญิงสาวจึงเอ่ยทักด้วยความคุ้นเคย
“พี่ชาย
รบกวนขอพบแม่ครัวหนวนเจ้าค่ะ”
“แม่นางฉางซี”
คนเฝ้าประตูส่งยิ้มให้ “เจ้าเข้าไปได้เลย แม่ครัวได้แจ้งกับพวกเราไว้แล้ว”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
นางยิ้มเล็กน้อยแล้วล้วงหยิบเอาห่อสมุนไพรส่งให้คนเฝ้าประตูคนละห่อ
“นี่เป็นสมุนไพรบำรุงข้อและกระดูก พี่ชายยืนทั้งวันจะปวดเข่าได้
ต้มดื่มในตอนเช้าจะช่วยบำรุงเจ้าค่ะ”
“พวกข้าไม่เกรงใจละนะ
ขอบใจแม่นางเสิ่นมาก”
หญิงสาวก้มศีรษะให้เล็กน้อยแล้วเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย
สองปีมานี้ นางมาส่งสมุนไพรและของป่าหายากให้จวนสกุลสวินมาตลอด
เดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง
แรกทีเดียวนางรู้จักแม่ครัวหนวนเพราะนางเอาสมุนไพรป่ามาขายที่ร้านขายยา
บังเอิญได้พบแม่ครัวหนวนที่มาซื้อสมุนไพรนำไปทำอาหาร นางถูกคำว่า ‘สกุลสวิน’ ดึงดูด
จึงเข้าไปพูดคุยและแนะนำเรื่องรายการอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพ
สำหรับเสิ่นฉางซีแล้ว
สิ่งที่นางทำอยู่เพื่อ ‘ตอบแทน’
ผู้มีพระคุณของนาง
“แม่ครัวหนวน”
หญิงสาวร้องทัก แม่ครัวร่างอวบหันมาตามเสียงเรียกเห็นเป็นคนที่รออยู่ก็ยิ้มกว้าง
กวักมือเรียกนางเข้าไปหา “วันนี้ข้าได้เขากวางอ่อนมาเจ้าค่ะ
ใช้บำรุงไขข้อและทำให้กระฉับกระเฉง”
“เจ้ามาเสียที”
แม่ครัวยิ้มออกมาได้ “แขกมาเต็มจวน ข้าทำไม่ทันแล้ว เจ้ามาช่วยเป็นลูกมือข้าหน่อย”
“ได้เจ้าค่ะ”
หญิงสาวยิ้มรับ เดินลากขาข้างขวาไปล้างมือแล้วรับผ้ากันเปื้อนมาสวมทับชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบที่ตนสวมอยู่
นางผูกปมผ้าคลุมศีรษะให้แน่นขึ้นเพื่อทำงานในครัวได้สะดวก
“นังหนู
มาช่วยทำปลาเร็ว”
“ได้เจ้าค่ะ”
หญิงสาวหมุนตัวไปช่วยแม่ครัวทันที แค่แม่ครัวสั่งนางก็ทำตามได้อย่างคล่องแคล่ว
แล่เนื้อปลาไร้ก้างวางใส่จานให้อย่างดี
“วันนี้คุณชายใหญ่กลับเข้าจวน
ผู้คนมาแสดงความยินดีมากมายนัก อาหารทำแทบไม่ทันทั้งที่เตรียมไว้ก่อนแล้วแท้ๆ”
“คุณชายใหญ่?”
เสิ่นฉางซีทวนคำที่ได้ยินแต่มือก็ยังทำงานไม่ได้หยุดนิ่ง
“นังหนูคงไม่เคยเห็น
คุณชายใหญ่ของเราก็คือแม่ทัพสวินเย่ว์”
นางพยักหน้าหงึกหงัก
เก็บซ่อนรอยยิ้มไว้ นางมาขายสมุนไพรหรือของป่ามิใช่ความบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจ
สำหรับคนผู้นั้นอาจลืมเลือนนางไปนานแล้ว แต่สำหรับนางแล้วการได้เฝ้าติดตามข่าวคราวของเขาคือความสุขของนาง
ห้าปีก่อน
ตั้งแต่วันที่เขาจากไป นางเฝ้าติดตามข่าวคราวของเขาเรื่อยมา
จากการสอบถามกับไต้ซือซูจึงได้รู้ว่าเขาชื่อสวินเย่ว์
นางอยากขอบคุณที่เขาเมตตาช่วยเหลือ ซ้ำยังอุ้มนางไว้อย่างไม่รังเกียจ
แต่นางรู้จากคำบอกเล่าของผู้อื่น ช่วงเวลาที่ไต้ซือซูรักษานางนั้น สวินเย่ว์ไม่ชอบให้ผู้อื่นเข้าใกล้
วันที่ไต้ซือซูอำลาพร้อมกับพาสวินเย่ว์ไปด้วยนั้น
เขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่
แม้นางจะอายุแค่สิบขวบกลับรู้ได้ดีว่าเขามิใช่คนธรรมดา นางจึงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
นางได้แต่มองแผ่นหลังของเขาไปไกลสุดสายตา
นับตั้งแต่นั้น
นางอาศัยในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม ค่อยๆ
เก็บเกี่ยวเรื่องราวของเขามาเป็นเรื่องของตนเอง ช่วงที่นางรักษาตัวอยู่ในห้อง
ไต้ซือซูบอกเล่าเรื่องของสวินเย่ว์ราวกับเล่านิทานให้นางฟัง
นางจึงรู้ฐานะที่แท้จริงของเขาและเหตุผลที่จำเป็นต้องติดตามไต้ซือซูใช้ชีวิตนอกจวนอันใหญ่โตถึงสี่ปี
‘นังหนู’
นางจำได้ว่าวันนั้นไต้ซือซูเล่าเรื่องชะตาทรราชของสวินเย่ว์ให้นางฟัง
‘เจ้าไม่กลัวชายผู้นั้นรึ’ ใบหน้าเปี่ยมเมตตาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เด็กหญิงส่ายหน้าไปมา
‘เขาเป็นผู้มีพระคุณของข้า
ข้าจะกลัวเขาได้อย่างไร’
‘ผู้มีพระคุณรึ’
ไต้ซือซูเอ่ยซ้ำแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ‘พบกันล้วนเกิดจากวาสนา
บางทีเจ้ากับเขาอาจมีวาสนาต่อกัน บางทีอาจเป็นเจ้าที่ช่วยคนผู้นั้นได้’
‘ข้ารึ’
นางใช้นิ้วชี้ที่ใบหน้าตนเอง ‘อย่างข้าจะช่วยผู้ใดได้’
ไต้ซือซูพยักหน้าอีกครั้ง
‘ขอเพียงมีความตั้งใจจริง
ย่อมทำได้แน่นอน’
ภายใต้การดูแลเลี้ยงดูของสกุลเกา
เสิ่นฉางซีเติบโตขึ้นตามวัย
ในหนึ่งปีไต้ซือซูจะแวะเวียนมาดูอาการบาดเจ็บของนางสักครั้ง
นายท่านใหญ่ให้คนไปสืบข่าวจึงรู้ว่าบ้านของนางนั้นถูกไฟไหม้ ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว
นางผู้รอดจากความตายมาครั้งหนึ่งแล้วนั้นจึงมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้
แม้มีใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น ต้องเดินลากขาข้างขวาและยังไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้
นางจึงพยายามเรียนรู้ทักษะหลายๆ
ด้านเพื่อที่วันหนึ่งนางออกจากสกุลเกาแล้วยังสามารถหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด
สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้นั้น ย่อมไม่มีใครต้องการ
นางจึงคิดจะหาเลี้ยงชีพเพียงลำพัง
ด้วยคิดเสมอมาว่าต้องอยู่คนเดียวให้ได้
จึงพยายามเรียนรู้เรื่องต่างๆ ให้มากที่สุด แม้เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย แต่ยามอยู่ในครัวก็ใช้เก้าอี้มาต่อขาเพื่อยืนอยู่หน้าเตาได้ นางเรียนรู้การทำอาหารจากพ่อครัว ยามอยู่กับเกาฮูหยินก็ฝึกฝนงานเย็บปัก
เการุ่ยเฉียงมักเรียกนางไปฝึกคัดตัวอักษรพร้อมกัน
นางทำตามไม่อิดออด ทั้งอ่านตำราท่องโคลงกลอน นายท่านรองกวักมือเรียกนางไปสวนสมุนไพร
นางคว้าตะกร้าวิ่งกะโผลกกะเผลกตามไป โดยไม่ต้องให้นายท่านเอ่ยปากเรียกซ้ำ
มีเพียงการฝึกยุทธ์ที่นางไม่อาจทำได้ ด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บตั้งแต่ครั้งนั้น
นางหวังเพียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ท่านพ่อ ท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์จะได้ไม่เป็นทุกข์ใจเพราะนาง
“ฉางซี”
“เจ้าคะ”
เสียงแม่ครัวหนวนเรียกทำให้เด็กสาวตื่นจากภวังค์
นางช่วยงานร่วมชั่วยาม เห็นทีควรกลับได้แล้ว มิเช่นนั้นนายท่านรองจะรอนาน
หรืออาจจะไม่ได้รอนางอยู่ก็เป็นได้
“เจ้านี่น่าจะมาสมัครเป็นแม่ครัวในจวนนี้นะ”
“ข้าหรือ?” นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง
แล้วก็ยิ้มออกมา
“เจ้าอายุยังน้อย ฝึกฝนเอาดีด้านนี้ย่อมเป็นแม่ครัวใหญ่ได้แน่
อย่าเอาแต่หาของป่าหรือสมุนไพรมาขายเลย”.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น